ชุดขับ DURA-ACE เจเนอเรชั่นใหม่ สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อนักปั่นที่มองหาชุดขับที่สมบูรณ์เเบบที่สุด หากคุณยังต้องการไปให้เร็วยิ่งกว่าและสูงยิ่งกว่า DURA-ACE จะพาคุณไปให้ถึงจุดสูงสุดเอง! SHIMANO ทุ่มเททั้งฝีมือและระยะเวลาแรมปี รวบรวมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดไว้ใน DURA-ACE R9200 นี้ เพื่อส่งให้คุณไปได้เร็วขึ้นแม้สักวินาที เราสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับชุดขับเสือหมอบ โดยการวิจัยและพัฒนาภายใต้คอนเซปต์ SCIENCE OF SPEED ที่จะยกระดับชุดขับอย่างครอบคลุมทั้ง 5 ด้าน
เริ่มจากปรับปรุงแพลตฟอร์ม Di2 ใหม่เป็นแบบ Wireless ที่ทำงานได้รวดเร็วและสเถียรยิ่งขึ้น จึงไว้ใจได้มากกว่าเดิม ดีไซน์ Interface ใหม่เพิ่มความสมดุล ทั้งแอโร่และจับสบาย ปรับระบบเกียร์ใหม่เป็น 12 SPEED ให้ประสิทธิภาพสูงสุด สมบูรณ์ขึ้นทุกรายละเอียด รวมถึงปรับปรุงระบบเบรกใหม่ให้คอนโทรลได้ละเอียดขึ้น เงียบขึ้น จนเรากล้าพูดว่าดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และระบบล้อใหม่ ที่มีทั้งความแข็งแกร่ง มีแอโร่ไดนามิคที่ดี และน้ำหนักเบา เรียกว่ายกเครื่องมาใหม่ทั้งชุด แรงสุดสมการรอคอย แต่จะดีขึ้นแค่ไหน ดีขึ้นอย่างไร เราไปเจาะลึกในแต่ละหัวข้อกันเลยดีกว่า
#imwithshimano #imwithshimanoSEA #RideShimano #RideShimanoSEA #allfortheride #allfortherideSEA Shimano-Road
Platform Di2 ใหม่
DURA-ACE R9200 จะเป็นชุดขับพร้อมชุดเกียร์ Di2 เท่านั้น ไม่มีชุดเกียร์แบบเมคานิคส์แล้ว โดยมีชิฟเตอร์แบบ Wireless (เฉพาะ Disc Brake) คอยส่งสัญญาณสั่งการไปยังตีนผี ซึ่งระบบ Wireless ของ Di2 ใหม่นี้มีทั้งความปลอดภัยสูง กินพลังงานต่ำ และมีสัญญาณรบกวนน้อย แต่เรายังเพิ่มประสิทธิภาพของ Di2 ขึ้นไปอีก ด้วยการเชื่อมต่อตีนผีกับแบตเตอรี่และสับจานหน้าด้วยสายไฟ เพราะจะทำให้การสั่งการผ่านแต่ละชิ้นส่วนมีความสเถียรมากขึ้น และมีประสิทธิภาพสูงกว่า ให้ความมั่นใจที่มากกว่าเดิม โดยผลลัพธ์คือตีนผีสามารถตอบสนองได้ไวขึ้นถึง 58% และสับจานหน้าก็ทำงานได้ไวขึ้นอีก 45% เมื่อเทียบกับ DURA-ACE R9150 รุ่นก่อน จนกลายเป็นชุดเกียร์ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็วที่สุด
ในขณะเดียวกันก็ลดความยุ่งยากในการติดตั้งและใช้งานลง โดยรวมอุปกรณ์ต่างๆไว้ในตีนผีที่เดียว ทั้ง Junction A, ที่ชาร์จแบตเตอรี่, ตัวส่งสัญญาณ Bluetooth และ ANT+ หรือ D-FLY รวมถึงปรับเปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่แค่ก้อนเดียว เวลาเซอร์วิสจึงทำได้ง่าย ซึ่งแบตเตอรี่ใหม่นี้จะทำหน้าที่จ่ายไฟให้ตีนผีและสับจานหน้า สำหรับการชาร์จแบต 1 ครั้งสามารถปั่นได้ถึง 1,000KM จากการทดสอบปั่นระยะทาง 45KM ต่อวัน ที่อุณหภูมิ 25 องศา ส่วนตัวชิฟเตอร์จะใช้แบตกลม ที่มีอายุการใช้งานนาน 1.5 – 2 ปี
นอกจากนี้ยังเลือกใช้งานเกียร์โดยเชื่อมต่อผ่านสายเคเบิ้ลได้เช่นกัน เหมาะสำหรับติดตั้งให้จักรยาน E-Bike หรือใช้ในทีมปั่นที่มีจักรยานหลายคัน ช่วยลดปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวนได้ เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักปั่นที่ต้องการความไว้วางใจระดับสูงสุดในการใช้งาน และการเชื่อมต่อแบบสายยังใช้พลังงานน้อยกว่าระบบ Wireless ถึง 50% รวมถึงหากปั่นไปแล้วเกิดอุบัติเหตุจนสายเคเบิ้ลเสียหายหรือขัดข้อง ระบบก็จะสลับไปใช้การสั่งงานแบบ Wireless โดยอัตโนมัติ จึงสามารถใช้งานชุดขับได้อย่างมั่นใจมากกว่าเดิม
Interface ใหม่
เคียงคู่มากับ Performance นักปั่นมักมองหา Comfort หรือความสบาย เราจึงปรับดีไซน์ฮู้ดตามหลักสรีระศาสตร์ บาลานซ์ทั้งความสบายและความแอโร่ จนออกมาเป็น Unparalleled Ergonomics ที่ฮู้ดมีดีไซน์โค้งเข้ารับกับข้อมือ ให้องศาการวางตัวของข้อมือที่สบายยิ่งขึ้น รวมถึงมีส่วนฮู้ดที่สูงกว่าเดิม ซึ่งนอกจากจะจับสบายขึ้นแล้ว ยังช่วยให้คอนโทรลรถได้ง่าย ระยะ Reach เองก็ถูกปรับเพิ่มขึ้น จึงทำให้วางมือได้กระชับ กำได้เต็ม 3 นิ้ว ส่วนของปุ่มก็ยาวขึ้น เพื่อให้สามารถกดเปลี่ยนเกียร์ขณะจับดรอปได้ง่าย แล้วยังเพิ่ม Offset ของปุ่มเกียร์ให้ต่างกันมากขึ้นด้วย เวลาสัมผัสจึงแยกปุ่มได้ง่าย แม้จะใส่ถุงมือหรือสัมผัสด้วยมือเปียกก็ตาม
นอกจากนี้ลุคใหม่ของ DURA-ACE R9200 ยังมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัด ก็คือ Cockpit ดูสะอาดตาขึ้น เพราะ Di2 ระบบ wireless ทำให้พอร์ตสายเกียร์ต่างๆถูกตัดออกไป รวมถึงอุปกรณ์ยิบย่อยอย่าง Junction A ก็ถูกเก็บรวมไปไว้ในตีนผีแทน บริเวณ Cockpit จึงดูเรียบร้อยขึ้นถนัดตา แต่ยังคงไว้ด้วยลูกเล่นหลากหลายให้คุณสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการใช้งาน ทั้งสวิตช์เสริมสำหรับสปริ้นท์หรือไต่เขา รวมถึงการปรับแต่งรายละเอียดการเปลี่ยนเกียร์และการตั้งค่าปุ่มกด ก็ยังคงทำได้ผ่าน E-TUBE Project เช่นกัน
ระบบเกียร์ใหม่ 12 SPEED
DURA-ACE R9200 ปรับระบบเกียร์ใหม่เป็นแบบ 12 SPEED ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว ในรอบขาที่ลื่นไหลกว่าเดิม รวมถึงมีตัวเลือกทั้งเฟืองและจานหน้ากว้างขึ้น จึงได้อัตราทดเกียร์ที่ต่ำลงตามเทรนด์ของนักปั่นในปัจจุบัน โดยเฟืองหลังมีขนาดใหม่ 11-34T และสเป็คจานหน้าใหม่ 54-40T
สำหรับเฟืองหลังเรายังคงเลือกใช้เฟืองใบเล็กสุดเป็น 11T เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง แต่มีการปรับแต่งเกียร์ช่วง Sweet Spot หรือช่วงเกียร์เรนจ์กลางๆที่ถูกใช้งานมาก ให้เกียร์มีความละเอียดมากขึ้น เมื่อเปลี่ยนเกียร์จึงรู้สึกสมูทลื่นไหล รอบขาไม่กระตุก ไม่มีอาการขาวืด แล้วยังนำระบบ Hyperglide+ ที่เคยอยู่ในชุดขับ MTB 12 SPEED เข้ามาใช้อีกด้วย นอกจากเกียร์ที่เปลี่ยนได้อย่างไหลลื่นแล้ว จึงมีทั้งความนุ่มนวล แม่นยำ และตอบสนองได้รวดเร็วไม่ว่าจะเปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลง โดยเฟืองใหม่ 12 SPEED นี้ออกแบบโปรไฟล์ส่วนโม่มาให้สามารถใช้งานร่วมกับชุดล้อ 11 SPEED เดิมได้ทันที
ในส่วนของจานหน้ามีให้เลือกทั้งแบบขาจานปกติ ผลิตโดยใช้เทคโนโลยี Hollowtech II คือเป็นขาจานกลวงที่มีน้ำหนักเบาและสติฟสูง กับขาจาน Power Meter แบบใหม่ที่มีความแม่นยำมากขึ้นในอัตรา ±1.5% จากเดิมรุ่นก่อนจะอยู่ที่ ±2% รวมถึงมีระบบชดเชยอุณหภูมิอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้สามารถวัดค่าได้แม่นยำมากขึ้น มาพร้อมแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟ ที่ทั้งกันน้ำและเซอร์วิสได้ง่าย ชาร์จไฟ 1 ครั้งสามารถใช้งานได้นาน 300 ชั่วโมง ตัวสับจานเองก็ถูกปรับปรุงใหม่ให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้นเช่นกัน และยังถูกออกแบบให้มีขนาดเล็กลง 33% และมีน้ำหนักเบาลงเหลือเพียง 96G เท่านั้น
ส่วนโซ่ที่จะเข้ามาเชื่อมต่ออุปกรณ์ในชุดขับเคลื่อน เลือกใช้เป็นโซ่ MTB 12 SPEED ที่ไว้วางใจได้ในประสิทธิภาพและหาซื้อได้ง่าย โดยเลือกใช้งานได้หมดทั้งรุ่น XTR, XT, SLX รวมไปถึง DEORE
ปรับปรุงระบบเบรก
การมีระบบเบรกที่ดีอาจทำให้พลิกผลการแข่งขันจนส่งนักปั่นขึ้นไปยืนบนโพเดียมได้เลย และเราก็มั่นใจว่านี่คือระบบเบรกที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา ระบบเบรกใหม่ใน DURA-ACE R9200 ยังคงใช้เทคโนโลยี SERVO WAVE Action ที่คาลิเปอร์สามารถทำการจับใบดิสก์ได้อย่างรวดเร็วและนุ่มนวล แต่พัฒนาให้ตอบสนองได้ไวยิ่งขึ้น โดยมีระยะ Free Stroke ที่สั้นลงกว่ารุ่นก่อน แตะเบรกเพียงนิดเดียวก็ทำให้เบรกทำงานได้แล้ว และระยะ Free Stroke ที่สั้นลงยังทำให้มีพื้นที่ในการควบคุมเบรกมากขึ้นอีกด้วย จึงสามารถไล่ระดับการกดเบรกได้ละเอียดกว่า คอนโทรลรถได้แม่นยำขึ้น ทำให้ควบคุมรถได้ละเอียด เข้าโค้งแน่น รวดเร็ว ดุดัน และมั่นใจ
นอกจากนี้ยังมีการปรับระยะระหว่างผ้าเบรกให้กว้างขึ้น 10% ช่วยลดการเสียดสีของผ้าเบรกกับใบดิสก์ จึงช่วยลดเสียงกระทบลงได้ รวมถึงช่วยลดอุณหภูมิที่เกิดจากการเสียดสีลงด้วย โดยใช้งานคู่กับใบดิสก์ MTB รุ่น RT-MT900 สามารถลดอุณหภูมิลงได้ถึง 66% ซึ่งคาลิเปอร์ตัวใหม่นี้จะเป็นแบบ Mono Body คือเป็นชิ้นเดียวไร้รอยต่อ ที่ช่วยเพิ่มทั้งความแข็งแรงและประสิทธิภาพในการเบรก รวมถึงยังปรับดีไซน์ช่วยให้การเซอร์วิสง่ายขึ้น โดยสามารถเติมและไล่น้ำมันเบรกได้โดยไม่ต้องถอดออกจากตัวรถ
ระบบล้อใหม่
เราได้ออกแบบชุดล้อใหม่ทั้งหมด เพื่อยกระดับมาตรฐานให้กับล้อ Road Racing โดยโฟกัสที่ 3 ด้านคือ ความแอโร่ ความแข็งแรง และน้ำหนักเบา ล้อ DURA-ACE ใหม่มาในดีไซน์เรียบง่าย สามารถเข้าได้กับรถทุกแบรนด์ มีทั้งล้อสำหรับยาง Tubeless และยางฮาร์ฟหรือ Tubular รวมทั้งหมด 3 ซีรี่ย์ คือ C36 C50 และ C60
โดยแต่ละซีรี่ย์ก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป เริ่มจาก C36 เป็นล้อที่เน้นเรื่องน้ำหนักเบา เหมาะสำหรับนักปั่นที่ชอบขึ้นเขา ส่วน C50 จะเป็นล้อ All-Round ที่ให้อัตราเร่งดี ยืนความเร็วได้ดี และคุณสมบัติสมดุลกันหมดทั้งความแอโร่ ความแข็งแรง และน้ำหนัก สุดท้าย C60 เป็นล้อที่เน้นความแอโร่และความแข็งแรงสูงสุด สติฟมากที่สุด รองรับการใช้งานปั่นหนักๆในย่านความเร็วสูง และตอบสนองต่อการสปริ้นท์ได้อย่างยอดเยี่ยม
อย่างแรกที่เราใส่ใจพัฒนาคือเรื่องแรงต้านลมที่เป็นปัจจัยสำคัญในการปั่น โดยออกแบบโปรไฟล์ขอบล้อใหม่ ทำให้ล้อ C50 สามารถลด Drag และช่วยเซฟวัตต์ลงไปได้ 5.1W เมื่อเทียบกับล้อ C40 รุ่นเก่า ส่วนแรงต้านลมด้านข้างเองก็ทำได้ต่ำใกล้เคียงกันทั้งที่มีขอบสูงกว่า จึงยังได้รับประโยชน์จากแรงลมด้านข้างอยู่ และไม่เสียความสามารถในการควบคุมรถไป อีกส่วนที่ถูกยกเครื่องใหม่คือ Free Hub มาในดีไซน์ใหม่ชื่อ DIRECT ENGAGEMENT ที่โครงสร้างมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ส่งกำลังได้อย่างรวดเร็ว ลดจังหวะวืดของรอบขา โดยให้สัมผัสในการปั่นที่แข็งแรงขึ้นถึง 63% เมื่อเทียบกับล้อ C40 รุ่นเก่า และเรายังเข้าใจว่าน้ำหนักทุกกรัมมีค่า จึงใส่ใจในการรีดน้ำหนักออกจากทุกชิ้นส่วน เริ่มจาก Free Hub ใหม่ที่เบาลง 45G ปรับปรุงซี่ลวดและขอบล้อ ผลลัพธ์คือล้อ C50 1 คู่ มีน้ำหนักโดยรวมน้อยกว่าล้อ C40 รุ่นเก่าถึง 157G ทั้งที่มีขอบล้อสูงกว่า
และนี่ก็คือภาพรวมของชุดขับใหม่ DURA-ACE R9200 จาก SHIMANO ที่พวกเราภูมิใจนำเสนอ เพื่อส่งนักปั่นที่ไม่เคยยอมประนีประนอมให้ไปได้เร็วขึ้นกว่าเดิม… แต่ถ้าใครยังไม่จุใจ เราก็มี Product Detail ของแต่ละชิ้นส่วนมาให้ดูกันชัดๆอีกด้วย
DUAL CONTROL LEVER (2×12 SPEED)
ชิฟเตอร์มีผลิตออกมาทั้งสำหรับ Disc Brake (ST-R9270) และ Rim Brake (ST-R9250) โดยทั้ง 2 รุ่นใช้วัสดุเหมือนกันคือ Carbon Fiber Resin Plastic ที่มีทั้งน้ำหนักเบา และให้สัมผัสระดับพรีเมียม โดยมีจุดแตกต่างกันดังนี้
Hydraulic Disc Brake DUAL CONTROL LEVER (ST-R9270)
– ลดการเชื่อมต่อสายเกียร์ ช่วยให้ Cockpit ดูสะอาดตาขึ้นด้วยการเชื่อมต่อแบบ Wireless
– ใช้งานโดยเชื่อมต่อแบบสายได้เช่นกัน
– ฮู้ดยกสูงขึ้นจึงจับสบายและคอนโทรลรถได้ง่าย ปรับดีไซน์ตามหลักสรีระศาสตร์ให้เข้ากับมือมากขึ้น โดยมีการพัฒนาปรับปรุงร่วมกับนักปั่นโปรทัวร์
– ใช้แรงในการเบรกน้อย ควบคุมเบรกได้ละเอียด เพิ่มขึ้นทั้งพลังและประสิทธิภาพในการควบคุมเบรก
– อายุการใช้งานเฉลี่ยนาน 1.7 ปี
Rim Brake DUAL CONTROL LEVER (ST-R9250)
– รูปทรงและ Texture ใหม่ช่วยเพิ่มความกระชับในการจับ รวมถึงการควบคุมเบรกที่มั่นใจมากขึ้น
– ให้สัมผัสการคลิกเปลี่ยนเกียร์ที่ชัดเจน
– ระยะรีชของก้านมือเบรกสามารถปรับแต่งได้ 14MM
– รองรับการเชื่อมต่อแบบสายเท่านั้น
Satellite Shifter
ชิฟเตอร์รีโมท มีทั้งตำแหน่ง Drop และ Top ขนาดกระทัดรัด เพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง Cockpit
ชิฟเตอร์รีโมทตำแหน่ง Drop (SW-RS801-S)
– รีโมทสปริ้นท์
– ติดตั้งโดยตรงที่แฮนด์ได้เลย
– ความยาวสายเคเบิ้ล 100MM
ชิฟเตอร์รีโมทตำแหน่ง Top (SW-RS801-T)
– ติดตั้งเข้ากับแฮนด์โดยใช้ Cable Tie
– ความยาวสายเคเบิ้ล 260MM
Cassette Sprocket (12 SPEED)
เฟืองหลังใหม่ 12 SPEED (CS-R9200) ใบเฟืองผลิตจากวัสดุไทเทเนียมผสมเหล็กกล้า ส่วนสไปเดอร์ผลิตจากอลูมิเนียม มาพร้อมระบบ Hyperglide+ และโปรไฟล์เฟืองใหม่ ที่ทำให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว ลื่นไหล ภายใต้การส่งกำลังสูงสุด รองรับการใช้งานร่วมกับโม่ 12 และ 11 SPEED มี 3 ขนาดให้เลือกใช้
11-28T : 11-12-13-14-15-16-17-18-19-21-24-28T
11-30T : 11-12-13-14-15-16-17-19-21-24-27-30T
11-34T : 11-12-13-14-15-17-19-21-24-27-30-34T (ใหม่)
Crankset (2×12 SPEED)
ชุดจานหน้า (FC-R9200) มีโครงสร้างใบจานหน้าแบบ Hollowglide เสริมวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ มาพร้อมขาจานอะลูมิเนียมแบบ Hollowtech II มีทั้งน้ำหนักที่เบาลง แต่ยังคงความสติฟแข็งแรง ส่งกำลังได้อย่างมั่นใจ ออกแบบโปรไฟล์ฟันใหม่รับกับโซ่ 12 SPEED การเปลี่ยนเกียร์จึงทำได้อย่างแม่นยำและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีตัวเลือกขนาดใบจานใหม่ใหญ่ขึ้น ให้ใช้งานชุดขับเคลื่อนได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม
ความยาวขาจาน : 160 / 165 / 167.5 / 170 / 172.5 / 175 / 177.5 MM
ขนาดใบจาน : 50-34T / 52-36T / 54-40T (ใหม่)
Q-factor : 148 mm
Power Meter Crankset
ขาจาน Power Meter (FC-R9200-P) มาตรฐานใหม่ มีน้ำหนักเบาแต่ยังสติฟแข็งแรงด้วยเทคโนโลยี Hollowtech II เก็บข้อมูลได้แม่นยำขึ้น โดยมีความคลาดเคลื่อนเพียง ±1.5% รวมถึงมีระบบชดเชยอุณหภูมิอัตโนมัติ ที่ช่วยให้การวัดค่าทำได้แม่นยำยิ่งกว่าเดิม เปิดระบบได้รวดเร็วด้วยปุ่ม Switch On ที่ขาจาน มีไฟบอกสถานะในตัว กันน้ำได้ดีเยี่ยม ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไออนแบบชาร์จไฟได้ โดยการชาร์จ 1 ครั้งสามารถใช้งานได้ 300 ชั่วโมง
ความยาวขาจาน : 160 / 165 / 167.5 / 170 / 172.5 / 175 / 177.5 MM
Q-factor: 148 mm
Rear Derailleur
ตีนผีตัวใหม่ (RD-R9250) ผลิตด้วยวัสดุ Carbon Fiber Rasin ยังคงใช้โปรไฟล์แบบ Shadow RD ที่ช่วยลดความเสียหายกับตัวตีนผีหากเกิดอุบัติเหตุ แต่ปรับปรุงการทำงานให้รวดเร็วขึ้นกว่ารุ่นเก่าอย่าง RD-R9150 ถึง 58% รองรับการใช้งานกับเฟืองกว้างขึ้น โดยรองรับเฟืองใบใหญ่สุดที่ขนาด 34T และที่สำคัญ มาในดีไซน์แบบ Compact ที่รวมเอาอุปกรณ์ต่างๆของระบบ Di2 ไว้ในที่เดียว ทั้ง Wireless Unit, ที่ชาร์จแบต, อุปกรณ์เชื่อมต่อ Bluetooth และ ANT+ รวมถึงมีไฟ LED แจ้งเตือนสถานะ ทั้งสถานะของแบตเตอรี่ การเชื่อมต่อ และการทำงานในโหมดต่างๆด้วย
Front Derailleur
สับจานหน้า (FD-R9250) ทำงานได้เร็วที่สุด โดยเร็วกว่าตัว FD-R9150 รุ่นเก่าถึง 45% รองรับการใช้งานกับจานขนาด 50-55T ผลิตจากอะลูมิเนียม ดีไซน์ใหม่เพรียวบางขึ้น ขนาดเล็กลง 33% เลยทำให้มีน้ำหนักเบาลงอยู่ที่ 96G เท่านั้น
Hydraulic Disc Brake Caliper
คาลิเปอร์ใหม่ (BR-9720) มาในดีไซน์ Mono Body เป็นชิ้นเดียว ไร้รอยต่อ ทำให้มีความสติฟสูงสุด และมีน้ำหนักเบาลง ปรับปรุงระยะห่างระหว่างผ้าเบรกเพิ่มขึ้น 10% จึงช่วยลดการเสียดสีกับใบดิสก์ ทำให้เบรกทำงานได้เงียบขึ้น รวมถึงช่วยลดอุณหภูมิลงด้วย และย้ายพอร์ตน้ำมันมาไว้ด้านข้าง จึงเซอร์วิสได้ง่าย สามารถเติมและไล่น้ำมันเบรกได้โดยไม่ต้องถอดออกจากตัวรถ
Dual-Pivot Brake Caliper
ในส่วนของ Rim Brake มีทั้งแบบ Dual-Pivot (BR-R9200) และแบบ Direct Mount (BR-R9210) ที่มีความแข็งแรง น้ำหนักเบา ให้พลังเบรกมาก จึงสามารถควบคุมรถได้อย่างยอดเยี่ยม วัสดุของฝักเบรกเป็นแมกนีเซียม รองรับกับยางหน้ากว้างสุดที่ 28C
C36 Tubeless Disc Brake Wheel (WH-R9270-C36-TL)
ล้อ Full Carbon ขอบสูง 36MM ขอบในกว้าง 21MM โดดเด่นในเรื่องน้ำหนักเบา เหมาะสำหรับนักปั่นที่ชอบไต่เขา ใช้แพทเทิร์นซี่ลวดแบบ 1:1 ขนาดซี่ลวด 1.5MM ที่เน้นเรื่องการลดน้ำหนักล้อให้เบาลง โดยมีน้ำหนักรวม 1 คู่อยู่ที่ 1,338G เท่านั้น มาพร้อม Free Hub แบบใหม่ DIRECT ENGAGEMENT ที่มีความแข็งแรง ช่วยในการส่งกำลังได้เป็นอย่างดี และมีน้ำหนักเบาอีกเช่นกัน รองรับการใช้งานกับเฟืองหลัง 12 SPEED เท่านั้น
ราคา 52,500 บาท
C50 Tubeless Disc Brake Wheel (WH-R9270-C50-TL)
ล้อสาย All-Round วัสดุ Full Carbon ขอบสูง 50MM ขอบในกว้าง 21MM เป็นล้อที่คุณสมบัติสมดุลกันทั้งเรื่องความแอโร่ ความแข็งแรง และน้ำหนักเบา ให้อัตราเร่งที่ดี และยืนความเร็วได้ดี ใช้แพทเทิร์นซี่ลวดแบบ 1:1 เช่นเดียวกับล้อ C36 จึงยังทำน้ำหนักโดยรวมได้ค่อนข้างดี 1 คู่อยู่ที่ 1,465G มาพร้อม Free Hub แบบใหม่ DIRECT ENGAGEMENT ที่มีน้ำหนักเบา และสติฟแข็งแรง ช่วยในการส่งกำลังได้เป็นอย่างดี รองรับการใช้งานกับเฟืองหลัง 12 SPEED เท่านั้น
ราคา 53,500 บาท
C60 Tubeless Disc Brake Wheel (WH-R9270-C60-TL)
ชุดล้อที่แข็งแกร่งที่สุด โดดเด่นเรื่องความแอโร่ เหมาะสำหรับสายปริ้นท์ วัสดุเป็น Full Carbon ขอบสูง 60MM ขอบในกว้าง 21MM เลือกใช้แพทเทิร์นซี่ลวดแบบ 2:1 ที่สติฟมากกว่า เพื่อรองรับการปั่นหนักๆ การสปริ้นท์ หรือการใช้งานที่ความเร็วสูง โดยล้อ C60 มีความแข็งแรงมากกว่า C36 และ C50 ถึง 20% และมีน้ำหนักโดยรวมของ 1 คู่อยู่ที่ 1,609G มาพร้อม Free Hub แบบใหม่ DIRECT ENGAGEMENT เช่นกัน มีความเบาและสติฟแข็งแรง ช่วยในการส่งกำลังได้เป็นอย่างดี รองรับการใช้งานกับเฟืองหลัง 12 SPEED เท่านั้น
ราคา 53,500 บาท