Off Road Shoe คู่ไหนที่ใช่สำหรับคุณ

“รองเท้า” อีกหนึ่งอุปกรณ์คู่ใจนักปั่นที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีผลทำให้ Performance ทั้งดีขึ้นหรือแย่ลงได้ รองเท้าสำหรับปั่นจักรยานโดยเฉพาะนั้น นอกจากมีที่ติดตั้งคลีทเพื่อล็อคเท้าไว้กับบันไดแล้ว มักจะมีพื้นแข็งกว่ารองเท้าทั่วไปเพื่อให้สามารถส่งแรงปั่นไปยังบันไดได้มากที่สุด ซึ่งในส่วนของรองเท้า MTB หรือ Off road shoe นอกจากการส่งแรงปั่นแล้วยังถูกออกแบบมาโดยคำนึงถึงความคล่องตัวในการใช้งานกลางป่ากลางเขาหรือพื้นที่ขรุขระด้วย จึงทำให้พื้นรองเท้าไม่แข็งเท่ารองเท้าเสือหมอบ มีสันป้องกันรอบตัวคลีท และมีดอกยางใต้รองเท้าเพื่อช่วยสลัดโคลน หรือสรุปสั้นๆได้ว่ารองเท้าเสือภูเขานั้นเน้นความคล่องตัวในการใช้งานมากกว่าความเร็วครับ

ในการเลือกรองเท้าสักคู่ นอกจากเลือกที่สวมใส่กระชับสบายแล้ว การเลือกคู่ที่รองรับเข้ากับสไตล์การปั่นก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยส่งเสริม Performance ให้สูงขึ้นได้ วันนี้เราจึงพารองเท้า Off road จาก SHIMANO มาแนะนำว่ารุ่นไหนมีจุดเด่นอะไร และรุ่นไหนบ้างที่เหมาะกับคุณ

SHIMANO S-PHYRE XC9

รองเท้าเสือภูเขาตัวท็อปจาก SHIMANO ที่นักแข่งระดับโลกไว้วางใจในสุดยอดประสิทธิภาพของการส่งกำลัง ด้วยพื้นรองเท้าคาร์บอนที่มีค่า stiff สูง น้ำหนักเบา และดอกยาง Exclusive MICHELIN® high-traction ที่ทำให้ยึดเกาะได้อย่างดีเยี่ยม ทนทานพร้อมลุยในทุกเส้นทาง ส่วนส้นเท้าออกแบบเป็น external heel cup ช่วยลดการบิดของเท้าขณะปั่น รวมถึงใช้วัสดุหนังชิ้นใหญ่ขึ้นรูปรองเท้าแบบ Race-fit upper เพื่อให้ได้การโอบรัดที่กระชับสูงสุดและใส่สบาย แล้วยังมาพร้อมทรงรองเท้าแบบ wide ที่เข้ากับรูปเท้าคนไทยมากกว่าอีกด้วย

ราคา 11,500 บาท
ดูรายละเอียด XC9

SHIMANO RX8

รองเท้า Racing ที่เรียกได้ว่าเป็นลูกผสมระหว่างรองเท้าเสือภูเขากับเสือหมอบ ด้วยน้ำหนักที่เบาที่สุดในบรรดารองเท้า SPD จาก SHIMANO แต่มาพร้อม Performance ระดับสูงให้คุณลุยไปได้ในทุกเส้นทาง Cross Country พื้น Carbon Composith มีค่า Stiff ที่จัดว่าสูงเลยทีเดียว จึงสามารถส่งกำลังไปยังบันไดได้เป็นอย่างดี ถึงจะต้องแลกมาด้วยความสบายในการเดินที่น้อยกว่าร้องเท้าซีรี่ย์ XC รุ่นอื่นๆเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ยังคงความสบายในการสวมใส่ไว้ด้วยภายในที่บุนวมบางๆ จึงใส่ได้กระชับ สำหรับสีเงินยังมาในทรงหน้ากว้างที่เข้ากับรูปเท้าคนไทยจึงใส่สบายยิ่งขึ้นอีกด้วย ส่วนบนทำจากหนังซินเทติคที่ทั้งเบา ทนทาน และระบายอากาศได้ดี

ราคา 6,900 บาท

ดูรายละเอียด RX8

SHIMANO XC7

รองเท้าเสือภูเขาระดับ Racing ที่ให้ Performance ยอดเยี่ยมแต่สวมใส่สบายด้วยรองเท้าทรงหน้ากว้าง พื้นโซนกลางผลิตจาก Carbon Fiber ที่มีความแข็งเป็นพิเศษทำให้ส่งกำลังได้ดี พื้นรองเท้าผลิตจากยาง MICHELIN® ช่วยในการยึดเกาะ แต่ยังคงสามารถเดินเหินได้สบาย ลายดอกยางถูกออกแบบมาให้สามารถสลัดโคลนได้ดี ส่วนบนผลิตจาดวัสดุหนังสังเคราะห์ High-density ที่ทนทานและน้ำหนักเบา มาพร้อมปุ่มปรับกระชับ BOA L6 2 ปุ่มและ Power zone wire guide ที่ช่วยให้ปรับกระชับได้ครอบคลุมเข้ารูปเท้ามากยิ่งขึ้น

ราคา  6,500 บาท

ดูรายละเอียด XC7

SHIMANO XC5

รองเท้าเสือภูเขาระดับ Mid-range คุ้มค่าด้วย Performance ระดับสูงในราคาจับต้องได้ มาพร้อมน้ำหนักเบา ฟิตติ้งเป็นเเบบหน้ากว้างพิเศษเหมาะกับรูปเท้าคนไทย พื้นด้านในออกแบบเป็น Low stack height midsole ช่วยให้วางเท้าได้อย่างมั่นคงและส่งแรงไปยังบันไดได้ดียิ่งขึ้น พื้นรองเท้าผลิตจากยาง MICHELIN® ให้การยึดเกาะดีเยี่ยมแต่ยังสามารถเดินได้สบาย ลายดอกยางถูกออกแบบมาให้สามารถสลัดโคลนได้ดี ตัวรองเท้าส่วนบนระบายอากาศดี ปรับกระชับง่ายด้วยปุ่ม BOA L6 สวมใส่สบาย กระชับเท้าทุกส่วนเหมือนใส่ถุงมือ

ราคา 4,400 บาท

ดูรายละเอียด XC5

SHIMANO XC1

รองเท้าเสือภูเขาระดับเริ่มต้นที่มาในราคาสุดคุ้ม เพราะอัดแน่นไว้ด้วยคุณภาพและความสบาย พื้นรองเท้า Glass fiber nylon มีการวางดอกยางให้สามารถเหยียบบันไดได้อย่างมั่นคง ช่วยส่งแรงได้เป็นอย่างดี และยึดเกาะพื้นดีเยี่ยมจึงเดินเหินได้อย่างสะดวก วัสดุหนังด้านบนโอบรัดเท้าได้อย่างกระชับ สาย strap วางตำแหน่งให้สามารถปรับกระชับได้เสมอกันทั้งเท้า มีทั้งรุ่นผู้ชายและรุ่นผู้หญิง

ราคา 2,500 บาท

ดูรายละเอียด XC1

Off Road Shoe คู่ไหนที่ใช่สำหรับคุณ2020-12-29T13:05:00+07:00

สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ เมื่อปั่น MTB ทางไกล

ใกล้เข้ามาแล้วสำหรับงาน SHIMANO MTB EXPERIENCE 2020 @เขาจีนแล จังหวัดลพบุรี งานในปีนี้มีการเปลี่ยนเส้นทางจากปีก่อนเพื่อให้ผู้สมัครได้สัมผัสประสบการร์การปั่น MTB อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งบางส่วนของเส้นทางนั้นรถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นในปีนี้พวกเราจึงขอแนะนำให้ผู้ปั่นพกอุปกรณ์ต่อไปนี้ติดตัวไปด้วยเผื่ออสถานการณ์ฉุกเฉินครับ สำหรับนักปั่นเสือภูเขาทั่วไปที่ไม่ได้ลงปั่นในงานนี้ ก็สามารถเก็บไว้เป็นคำแนะนำสำหรับการปั่น MTB ทางไกลได้เช่นกันครับ

 

สำหรับผู้สมัครงาน SHIMANO MTB EXPERIENCE 2020 สามารถอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ใน RIDE GUIDE โดยคลิ๊กที่นี่เพื่อดาว์นโหลดครับ

 

สิ่งสำคัญอย่างแรก ยางใน เนื่องจากการปั่น MTB จะต้องผ่านเส้นทางที่สมบุกสมบัน เส้นทางบางส่วนนั้นรถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงได้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ยางแตกขึ้น ยางในที่คุณพกไว้จะช่วยให้คุณสามารถปั่นต่อไปจนถึงจุดปลอดภัยได้

แน่นอนถ้าคุณถอดยางออกมาเพื่อใส่ยางใน คุณจะต้องมีสูบพก หรือ Co2 เพื่อปั๊มลมกลับเข้าไปด้วย ถ้าคุณไม่อยากมานั่งปั๊มลมก็พกเป็น Co2 ก็จะทำให้การปั๊มลมนั้นง่ายและกำลังแรงอัดที่ดีกว่าในกรณีที่ต้องปั๊มลมยางที่เป็นแบบ Tubeless ครับ

โทรศัพท์ สำหรับติดต่อขอความช่วยเหลือในยามฉุกเฉินครับ

ที่งัดยางก็เป็นอุปกรณ์จำเป็นที่จะให้เรางัดยางได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ในกรณีที่เราต้องถอดเปลี่ยนยางใน

First-Aid kit หรืออุปกรณ์ทำแผลฉุกเฉิน เราอาจจะพกยาใส่แผลหรือผ้าพันแผลเล็กๆติดกระเป๋าจักรยานไว้ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเราสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ทันที

ครีมกันแดด จะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นในเมืองร้อนอย่างบ้านเรา ครีมกันแดดไม่ได้ช่วยให้ตัวไม่ดำ แต่ป้องกันผิวไหม้แดดได้ ทำให้เราไม่เกิดอาการแสบผิว เมื่อต้องปั่นกลางแจ้งเป็นเวลานานนั่นเอง

ปลดโซ่เร็วนั้นจะช่วยให้คุณต่อโซ่ที่ขาดได้ง่าย และสามารถปั่นต่อไปได้ การปั่น MTB นั้นมีการใช้เกียร์ที่เยอะ มีโอกาสที่โซ่ของคุณจะขาดได้หากอยู่ในตำแหน่งที่ตึงเครียด พกโซ่ปลดเร็วไว้สักคู่ จะช่วยให้คุณอุ่นใจมากยิ่งขึ้น

เครื่องมือพกพาเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่จำเป็นเมื่อปั่น MTB ทางไกล เครื่องมือพกพาเป็นทั้งไขควง หกเหลี่ยม หรือแม้กระทั่งที่งัดยาง การปั่น MTB ทางไกลอาจเกิดอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆที่คลาย หรือ ชิ้นส่วนที่หลุดออก เราสามารถใช้เครื่องมือพกพาในการแก้ไข ซ่อมแซมได้ครับ

สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ เมื่อปั่น MTB ทางไกล2020-12-29T13:05:00+07:00

ชุดขับ MTB 12 Speed จาก SHIMANO

ชุดขับ MTB 12 Speed จาก SHIMANO ตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักปั่นสายป่าที่กำลังมองหาชุดขับไปติดตั้งหรืออัพเกรดให้จักรยานของตัวเอง ด้วยเรนจ์เกียร์ที่กว้างขึ้นจึงทำให้ควบคุมรถได้อย่างละเอียดและสมูทกว่า ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์การปั่นที่ดีที่สุดในทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น cross country / trail / enduro

มีให้เลือก 4 รุ่นด้วยกันตามงบประมาณและการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น DEORE 1×12 Speed และ SLX XT  รวมถึงตัวท็อปอย่าง XTR ที่มีให้เลือกทั้งแบบ 1×12 และ 2×12 หรือจะอัพเกรดไปทีละชิ้นก็ทำได้ เพราะชิ้นส่วนแต่ละพาร์ทสามารถใช้ร่วมกันได้ในทุกซีรี่ย์ เพียงเลือกสเป็คให้เข้ากันเท่านั้น โดยเทคโนโลยีที่ถูกบรรจุมาในแต่ละชิ้นส่วนมีพื้นฐานเดียวกัน แต่ชุดขับรุ่นที่สูงกว่าก็จะสามารถควบคุมรถได้ละเอียดและอิสระมากขึ้นนั่นเอง

ในวันนี้เราจึงพาน้องเล็กในครอบครัว 12 Speed อย่าง DEORE ที่เพิ่งออกใหม่ล่าสุดมาแนะนำ ว่าแต่ละคอมโพเนนท์มีเทคโนโลยีอะไรที่น่าสนใจบ้าง

เฟือง / สเตอร์

ระบบเกียร์ Hyperglide+ ที่เคยอยู่แต่ในชุดขับรุ่นสูงๆของ SHIMANO ตอนนี้ถูกบรรจุไว้ในชุดขับ DEORE 12 Speed ด้วย เมื่อรวมเข้ากับเกียร์ที่ละเอียดมากขึ้น จึงยิ่งเปลี่ยนเกียร์ได้นิ่งและนุ่มนวลมากกว่าเดิม ลดอาการขาวืดเนื่องจากเปลี่ยนเกียร์ที่มีช่วงฟันห่างกันมาก ช่วยให้ปั่นสนุกและยกระดับ Performance รวมถึงช่วยให้สามารถใช้งานชิ้นส่วนร่วมกันได้ในทุกรุ่น ทั้ง SLX XT และ XTR

สำหรับเฟืองหลังแบบใหม่ นอกจากโครงสร้างแบบ Beam spider ที่ทำให้น้ำหนักเบาลงและมีค่าความ stiff สูงขึ้นแล้ว ยังมีเฟืองหลังขนาดใหม่ 10-51T ที่มีระยะเกียร์กว้างขึ้น ตอบโจทย์ทุกเส้นทางการปั่นอีกด้วย

 

ราคาเฟืองหลัง DEORE 12 Speed  : 2,390 บาท

ตีนผี

ในส่วนของตีนผีนอกจากมีค่า stiff มากขึ้นแล้ว ยังสามารถทำงานได้นิ่ง รวดเร็ว และแม่นยำมากกว่าเดิม มาพร้อมเทคโนโลยี SHIMANO RD+ ที่จะช่วยลดอาการโซ่ตกขณะใช้งานปั่นลุยในเส้นทางหนักๆ และพัฒนาให้ลดความตึงเครียดของตีนผีขณะโซ่อยู่ที่เฟืองใหญ่ลง โดยออกแบบใหม่เป็นแบบ low profile ที่ตัวตีนผียื่นออกจากเฟรมน้อยลง จึงลดความเสี่ยงต่อการเกี่ยวชนสิ่งกีดขวางได้อีกด้วย

 

ราคาตีนผี DEORE 12 Speed RD-M6100 : 1,420 บาท

จานหน้า

จานหน้าใหม่แบบ direct mount บำรุงรักษาง่ายและมีความ stiff มากกว่า จึงส่งแรงได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงมีค่า Q-factor มากพอที่จะรองรับรถ MTB ได้ทุกประเภท จึงไม่ต้องกังวลว่าปั่นแล้วจะเกิดปัญหาขาจานเสียดสีกับเฟรม

สำหรับ DEORE 12 Speed จะมีตัวเลือกจานหน้าแบบใบเดี่ยวเท่านั้น โดยการเลือกใช้จานหน้าใบเดี่ยวกับเฟืองหลัง 12 Speed สามารถช่วยให้ควบคุมรถง่ายขึ้น เนื่องจากไม่ต้องพะว้าพะวงกับการควบคุมสับจานหน้า รวมถึงคำนวณตำแหน่งเกียร์ปัจจุบันได้ง่ายกว่าอีกด้วย

แต่หากต้องการใช้จานหน้า 2 ใบ ก็สามารถขยับขึ้นไปเลือกใช้งาน SLX XT หรือ XTR แทนได้

ส่วนขนาดในรุ่นของ DEORE จะมีให้เลือกคือ 30T / 32T ถ้าต้องการจานหน้าที่ใหญ่กว่านี้สามารถเลือกใช้ของรุ่นสูงกว่าแทนได้เช่นกัน

โดยจานหน้าใบเดี่ยวของ SLX จะมีขนาด 30T / 32T / 34T 

ส่วน XT มีขนาด 28T / 30T / 32T / 34T / 36T

และ XTR มีให้เลือกตั้งแต่ 30T / 32T / 34T / 36T / 38T

 

ราคาจานหน้าใบเดี่ยว
DEORE FC-M6100-1 :  2,420 บาท
SLX FC-M7100-1 : 3,280 บาท
XT FC-M8100-1 : 5,290 บาท
XTR FC-M9100-1 : 10,700 บาท

มือเบรก

มือเบรกถูกพัฒนาขึ้นให้เหมือนกับรุ่นสูงกว่าอย่าง XT XTR และ SLX ที่มีพลังเบรกมาก มาในรูปแบบ I-spec EV ที่ย้ายแคลมป์รัดมาอยู่ตรงกลาง ช่วยให้ปรับแต่งมือเกียร์และเบรกได้มากขึ้น จึงจัด cockpit ได้ดูสะอาดตาขึ้น แล้วยังเพิ่มความ stiff ของมือเบรกขึ้นอีก 30% ด้วย support point รวมถึงมีระบบ Servo wave action ที่ช่วยให้เบรกตอบสนองได้เร็วขึ้น มีทั้งแบบ 2 สูบและ 4 สูบให้เลือกใช้

ส่วนตัวคาลิเปอร์ออกแบบมาสำหรับเส้นทาง cross country โดยเฉพาะ เป็นแบบ 2-piston ให้พลังเบรกเหนือชั้นภายใต้โครงสร้างใหม่ที่แข็งแรงยิ่งขึ้น อัดแน่นด้วย ICE TECHNOLOGY ที่สามารถช่วยลดอุณหภูมิของใบดิสก์ได้อย่างรวดเร็ว ให้คุณควบคุมรถได้อย่างมั่นคงและมั่นใจมากกว่าเดิม

ราคาชุดดิสก์เบรก DEORE

ชุดหน้า BL/BR-M6100 : 1,780 บาท
ชุดหลัง BL/BR-M6100 : 1,880 บาท

มือเกียร์

สำหรับมือเกียร์มีตัวเลือกทั้งแบบแคลมป์รัดปกติและแบบ I-spec EV ที่ให้คุณปรับองศาได้ตามความถนัด มาพร้อม Rapidfire plus ที่ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์ได้นุ่มนวลรวดเร็วเหมือนรุ่นพี่ โดยสามารถปรับเกียร์อย่างได้ถึง 3 เกียร์ในการกด 1 ครั้ง

 

ราคามือเกียร์ DEORE 12 Speed  SL-M6100 : 620 บาท

ดุม

ดุมในชุดขับ MTB 12 Speed จะใช้โปรไฟล์โม่หรือตัวสวมเฟืองแบบ Micro Spline เพื่อให้ใส่เฟืองขนาดใหญ่มากขึ้นได้ โดยดุมแบบ Micro Spline ถูกออกแบบมาให้ใส่เฟืองได้ stiff มากขึ้น ตัวโครงสร้างที่มีซี่ถี่และหนาช่วยให้รับและกระจายแรงได้ทั่ว จึงทำให้ทนทานต่อการใช้งานมากกว่าเดิม รวมถึงบำรุงรักษาได้ง่ายขึ้น

สำหรับดุมในซีรี่ย์ DEORE ยังคงใช้วัสดุหลักเป็นเหล็กเหมือนเดิม แต่ในรุ่นสูงกว่าอย่าง SLX XT และ XT จะเปลี่ยนมาใช้อะลูมิเนียมในการผลิต จึงมีน้ำหนักเบาลง แต่ยังคงความแข็งแรงทนทานไว้

 

ราคาดุมหลัง FH-MT401 : 850 บาท

โซ่

ตัวโซ่เองก็ถูกออกแบบใหม่เช่นกัน เพื่อให้ทำงานร่วมกับระบบ Hyperglide+ และโปร์ไฟล์ของเฟืองและจานหน้าแบบ DYNAMIC CHAIN ENGAGEMENT+ ได้ มาพร้อม Quick-link ที่ช่วยส่งกำลังดีเยี่ยม สามารถยึดเกาะและทำงานได้สมูทรวดเร็ว รวมถึงลดการสั่นของโซ่ขณะเปลี่ยนเกียร์ลงอีกด้วย

 

ราคาโซ่ DEORE 12 Speed  : 1,420 บาท

ทุกเทคโนโลยีที่กล่าวมาทั้งหมดของ DEORE นี้ก็ถูกบรรจุเอาไว้ในแต่ละชิ้นส่วนของรุ่นพี่อย่าง SLX XT และ XTR เช่นกัน ซึ่งตรงจุดนี้เองที่ทำให้ทุกคอมโพเนนท์ของทุกซีรี่ย์ในครอบครัว 12 Speed สามารถใช้ผสมร่วมกันได้ คุณจึงมีตัวเลือกในการเลือกชิ้นส่วนมาประกอบรถได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น

ส่วนสิ่งที่แตกต่างกันของแต่ละรุ่นนั้นคือความอิสระในการปรับแต่งรายละเอียดเล็กน้อยต่างๆ เช่น เทคโนโลยี Servo wave action ในมือเบรก จะมีระบบ Free Stroke ที่ช่วยให้ควบคุมเบรกได้ดียิ่งขึ้น โดยระบบนี้ไม่ได้ถูกใส่เข้ามาใน DEORE แต่มีในรุ่น SLX ขึ้นไป ซึ่งใน SLX จะไม่สามารถปรับแต่งได้ แต่ใน XT กับ XTR จะสามารถปรับแต่ง Free Stroke ได้ และมือเบรกของ XT จะปรับองศาได้มากกว่า DEORE เป็นต้น

ตัววัสดุและวิธีการผลิตเองก็มีส่วนทำให้ชุดขับแต่ละรุ่นแตกต่างกัน โดยใน XTR จะเน้นใช้วัสดุผสมหลายชนิด เช่น คาร์บอนไฟเบอร์ อลูมิเนียมอัลลอย ไทเทเนียม ทำให้ชุดขับมีน้ำหนักเบาที่สุด และเก็บงานให้ลุคหรูหราพรีเมียม ในขณะที่ DEORE เน้นผลิตจากโลหะ เก็บงานและให้ลุคที่ดูเรียบง่ายกว่านั่นเอง

 

ราคาชุดขับ DEORE 1×12 : 7,200 บาท

ราคาชุดขับ SLX 1×12 : 8,600 บาท
ราคาชุดขับ SLX 2×12 : 9,700 บาท

ราคาชุดขับ XT 1×12 : 13,400 บาท
ราคาชุดขับ XT 2×12 : 15,300 บาท

ราคาชุดขับ XTR 1×12 : 32,400 บาท
ราคาชุดขับ XTR 2×12 : 38,700 บาท

 

*ราคาไม่รวม Disc Brakes

ชุดขับ MTB 12 Speed จาก SHIMANO2020-12-29T13:05:00+07:00

10.5 เหตุผล ที่ควรอัพเกรดชุดขับเป็น SHIMANO 105 R7000

ไม่ว่าจะนักปั่นเสือหมอบมือใหม่หรือมือเก๋า หากคุณกำลังมองหาชุดขับ Performance ดีราคาเป็นมิตรเพื่ออัพเกรดความสามารถในการปั่นขึ้นไปอีกขั้น แต่ยังลังเลอยู่ไม่รู้จะเลือกชุดขับชุดไหนดี วันนี้เราจะขอแนะนำชุดขับเคลื่อนยอดนิยมจาก SHIMANO กับ 10.5 เหตุผลว่าทำไมชุดขับที่คุณเลือกจึงควรเป็น SHIMANO 105 R7000

1) Performance ระดับแข่งขัน

SHIMANO 105 อาจมีภาพจำ เป็นชุดขับระดับกลาง แต่จริงๆแล้ว 105 นั้นได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆขึ้นมาจนมี Performance สูงพอสำหรับใช้ในการแข่งขันได้เลยทีเดียว หากคุณไม่ได้โฟกัสที่ความหรูหราแต่ให้ความสำคัญกับ Performance 105 ก็เป็นชุดขับที่สามารถทำหน้าที่ตอบโจทย์ของคุณได้เป็นอย่างดี

2) สืบทอดเทคโนโลยีจากรุ่นท็อป

การเปลี่ยนเกียร์อันนุ่มนวลที่สามารถสัมผัสได้ในชุดขับรุ่นท็อปอย่าง ULTEGRA และ DURA-ACE คุณสามารถสัมผัสมันได้จาก 105 เช่นกัน ด้วยวัสดุที่ใช้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ 105 แตกต่างกับชุดขับรุ่นที่สูงกว่า แต่ในแง่ของเทคโนโลยีนั้นได้รับสืบทอดมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น

  • ขาจานที่ออกแบบมาแบบ HollowTechII คือกลวงและมีน้ำหนักเบาแต่ค่า Stiff สูงจึงทนทานและถ่ายเทน้ำหนักได้ดี
  • ระบบตีนผีแบบ Low Profile ที่ระยะของตีนผียื่นออกมาจากเฟรมน้อยลง จึงทำงานได้สมูทมากยิ่งขึ้น
  • สับจานถูกออกแบบให้มีขนาดกระทัดรัด จึงสามารถรองรับยางที่หน้ากว้างกว่าเดิม แล้วยังปรับแต่งได้ง่าย พร้อมด้วยจุดยึดสับจานหน้าและตีนผีแบบ Wide Link ที่นอกจากเพิ่มความทนทานแข็งแรงแล้วยังทำให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ไหลลื่นรวดเร็วแม้ขณะยืนปั่น

ซึ่งทั้งหมดนี้รวมเอาไว้ในชุดขับ SHIMANO 105 R7000 แล้ว

3) ตัวเลือกมือเกียร์สำหรับนักปั่นมือเล็ก

มือเกียร์ของ SHIMANO 105 R7000 เป็นอีกชิ้นหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นจนมีความสามารถที่ใกล้เคียง DURA-ACE อย่างมาก ทั้งการเปลี่ยนเกียร์ที่ทำได้เร็วขึ้น เบามือยิ่งขึ้น ระยะ reach ปรับได้หลากหลายมากขึ้น แล้วยังมีตัวเลือกมือเกียร์สำหรับคนมือเล็ก (Disc Brakes) ที่ชิฟเตอร์จะมีระยะ reach สั้นกว่า และมีทรงแป้นเกียร์กว้างขึ้นยื่นออกมารับกับนิ้ว จึงทำให้นักปั่นมือเล็กสามารถกดเปลี่ยนเกียร์และเบรกได้ง่ายกว่าเดิม

ดูรายละเอียดมือเกียร์ ST-R7000

4) ระบบเบรกที่มีประสิทธิภาพ

นอกจากระบบเกียร์แล้วคุณยังวางใจได้ในประสิทธิภาพการเบรกที่ทั้งทรงพลังและนุ่มนวล สำหรับ Rim Brakes ตัวก้ามเบรกแบบ Short-Arm ทำให้ตอบสนองต่อการเบรกได้ดีขึ้นและนิ่งมากขึ้น รวมถึงรูปร่างกระทัดรัดและมีน้ำหนักไม่มาก ส่วน Disc Brakes มาพร้อม ICE TECHNOLOGIES ช่วยลดความร้อนที่เกิดจากการเบรก ทำให้สามารถลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อใบดิสก์ร้อนเกินไปหากใช้เบรคติดต่อกันนานๆ ไม่ว่าจะเลือก Rim Brakes หรือ Disc Brakes จึงสามารถควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ ในทุกๆเส้นทางการปั่น

ดูรายละเอียดเบรก BR-R7000

5) ตัวเลือกเฟืองหลังหลากหลาย ตอบโจทย์การปั่นทุกสไตล์

SHIMANO 105 11 Speed มีตัวเลือกเฟืองหลัง 11-28T, 11-30T, 11-32T, 11-34T และ 12-25T ให้คุณได้เลือกใช้ตามสไตล์การปั่น ไม่ว่าจะชอบปั่นทางราบ ไต่เขา หรือเป็นสาย All-Round ก็ปั่นได้สบายและสนุกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเฟือง 11-34T ที่เป็นเฟืองขนาดใหญ่ซึ่งถูกเพิ่มมาในรุ่นใหม่ซีรี่ย์ R7000 นี้ สามารถช่วยให้คุณไต่เขาชันๆได้อย่างสบาย มาพร้อมตีนผีแบบขายาวที่ออกมาเป็นตัวเลือกสำหรับใช้กับเฟืองขนาดใหญ่ได้อีกด้วย

ดูรายละเอียดเฟือง CS-R7000

6) แข็งแรงทนทาน อายุการใช้งานยาวนาน

SHIMANO 105 R7000 ถือเป็นชุดขับอีกรุ่นที่โดดเด่นในเรื่องความทนทาน เพราะชิ้นส่วนต่างๆผลิตจากวัสดุโลหะเป็นหลัก จึงมีความแข็งแรงสมบุกสมบัน ทนทานต่อการใช้งานหนัก และไม่มีความจำเป็นต้องบำรุงรักษามากนัก จึงสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน

7) ปั่นทางไกลได้สบาย

ความแข็งแรงของวัสดุที่ประกอบเป็น SHIMANO 105 R7000 ทำให้คุณสามารถปั่นระยะทางไกลได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความเสียหายของชิ้นส่วนจากการถูกกัดกร่อน รวมถึงสามารถออกแรงปั่นได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดความเสียหายหากถูกใช้งานหนักเป็นระยะเวลาติดต่อกันนานๆ

8) น้ำหนักไม่ต่างจากรุ่นพี่มา

ความทนทานจากวัสดุเหล็กย่อมต้องแลกมาด้วยน้ำหนักที่มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงอย่างนั้น เมื่อลองมาชั่งน้ำหนักวัดกันจริงๆแล้วจะพบว่าตัวเลขต่างกันไม่มากนัก โดย SHIMANO 105 R7000 มีน้ำหนักมากกว่า ULTEGRA แค่ประมาณ 200 กรัมเท่านั้นเอง

9) เก็บงานวัสดุเรียบร้อย สวยงาม

ถึงจะไม่ได้ถูกผลิตออกมาให้มีความหรูหรามากนัก แต่ชิ้นส่วนของ SHIMANO 105 R7000 ก็มีการเก็บงานอย่างเรียบร้อย และให้ลุคเรียบง่ายที่ดูดีเหมาะสมกับราคา รวมถึงมีการปรับดีไซน์ของชิ้นส่วนต่างๆให้กระชับมากขึ้นจึงดูไม่เทอะทะอีกด้วย

10) คุ้มค่าคุ้มราคา

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดจึงทำให้ SHIMANO 105 R7000 เป็นอีกหนึ่งชุดขับที่ถูกยกขึ้นแท่นแนะนำว่าคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดในท้องตลาดตอนนี้ กับวัสดุทนทานและ Performance ระดับเยี่ยมที่คุณสามารถคว้ามาได้ในงบประมาณเพียง 2 หมื่นบาทเท่านั้น
  • ราคาชุดขับ SHIMANO 105 R700 (Rim Brakes) : 14,200 บาท
  • ราคาชุดขับ SHIMANO 105 R700 (Disc Brakes) : 20,980 บาท

10.5) มีสี SPARK SILVER

ปิดท้ายให้เป็นข้อ 10.5 สำหรับใครที่ชอบแต่งรถ SHIMANO 105 R7000 (Rim Brakes) มีชุดขับสีเงิน Spark Silver ให้คุณเลือกไปประกอบจักรยานตามสไตล์ที่ชอบได้ด้วย


ดูรายละเอียดชุดขับ 105 ได้ที่: https://hahhong.com/product/g105r700011spd/
สั่งซื้อ สอบถามเพิ่มเติม หรือใช้บริการ service ได้ที่: https://hahhong.com/dealer/
ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่น: https://facebook.com/hahhongth/

#rideshimano #imwithshimano Shimano-Road #Shimano105 #R7000

10.5 เหตุผล ที่ควรอัพเกรดชุดขับเป็น SHIMANO 105 R70002020-12-29T13:05:00+07:00

เพราะอะไร “ไฟจักรยาน” ถึงสำคัญทุกช่วงเวลา

สิ่งที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้เราในการปั่นจักรยานนอกจากหมวกกันน๊อคเเล้ว “ไฟจักรยาน” ก็มีความสำคัญสูงไม่เเพ้กัน มาดูกันว่าทำไมเราควรติดไฟจักรยานเเละทำไมถึงควรเปิดไว้ตลอดเวลาเเม้เเต่ในเวลากลางวัน

78% ของอุบัติเหตุที่เกิดจากรถยนต์และจักรยานอยู่ในช่วงเวลากลางวัน การเปิดไฟขณะปั่นช่วยลดอุบัติเหตุได้มากและเป็นวิธีง่ายๆในการทำให้คุณปลอดภัยยิ่งขึ้น เพราะการเปิดไฟช่วยให้การสังเกตได้ง่ายขึ้นจากผู้ใช้ถนนเปรียบเสมือนกับไฟ Daytime running lights ของรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ที่เปิดตลอดเวลา จักรยานก็ควรเปิดไฟตลอดเวลาครับและยิ่งสำคัญไปมากกว่านั้นคือเวลาเย็นและกลางคืน ที่บางประเทศมีกฎหมายจักรยานต้องมีไฟในเวลายามเย็น ไฟนั้นควรจะมีอย่างน้อย 2 ดวง คือหน้าและหลัง แต่ถ้าให้ดีนั้น ควรจะมีมากกว่า 2 ดวง เพื่อช่วยให้เป็นที่สังเกตได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นและเผื่อในกรณีที่แบตหมด เราก็ยังมีไฟอีกดวงที่ใช้งานได้ครับ

55% ของอุบัติเหตุจากรถยนต์และจักรยานเกิดขึ้นจากด้านข้าง ไม่ว่าจะเป็นแยกต่างๆที่รถยนต์มองไม่เห็นจักรยาน อาจจะเป็นมุมอับต่างๆที่รถยนต์อาจจะไม่ได้สังเกตที่ชัดเจน ดังนั้นเราควรติดไฟในส่วนอื่นๆ รวมถึงติดไฟ Additional lights ที่สามารถมองเห็นจากด้านข้างได้ชัดเจน ครับ การติดไฟที่สูงในตำแหน่งหมวกเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เราปลอดภัยขึ้นได้ครับ เมื่อเราปั่นขนานกับรถยนต์ บางทีไฟในตำแหน่งหลักอานอาจจะโดนบังได้ ไฟที่หมวกหรือเสื้อจะเป็นตำแหน่งที่รถยนต์เห็นได้อย่างชัดเจนมากกว่า
มาเริ่มกันที่ชุดไฟหน้าแบบส่องสว่าง หรือ Headlights กันก่อนครับ ไฟประเภทนี้จะมีความสว่างในการส่องถนนที่ชัดเจน หากสถานที่ที่เราปั่นนั้นเป็นที่มืดหรือปั่นกลางคืนเป็นหลัก เราควรเลือกไฟขนาด 500 lumens เป็นอย่างน้อย จะทำให้คุณปลอดภัยจากหลุมต่างๆ ก้อนหิน อุปสรรค หรือสัตว์ที่อยู่บนพื้น ให้การมองเห็นที่ชัดเจนในเวลากลางคืน หรือ เส้นทางแบบ off-road ครับ ไฟประเภท Headlights นี้มีความสว่างสูง เราควรปรับตำแหน่งที่ไม่เชิดเกิดไปเพื่อให้รถที่สวนทางมามองเห็นถนนที่ชัดเจนครับ

สำหรับไฟ Headlights ของ Cateye นั้นมีตั้งแต่ 500lumens ไปจนถึง 6,000lumens แต่ตัวอย่างไฟดังภาพนี้ก็เพียงพอสำหรับการปั่นกลางคืนและส่องสว่างบนพื้นถนนครับ

ไฟ Cateye Volt1700
ไฟหน้า High-Powered สำหรับนักปั่นที่ต้องการความสว่างสูงสุดในการส่องทางทั้งด้านหน้าและด้านข้างให้เห็นทางอย่างชัดเจน เหมาะกับการขับขี่ทางไกล หรือสาย Trail ต่างๆ Volt1700 มาพร้อมหลอด Chip LED Super Powerful 1700Lumens และปุ่ม Mode ขนาดใหญ่ ช่วยให้กดได้ง่ายมากกว่าขณะใส่ถุงมือ
ราคา 7,150 บาท

ไฟ Cateye Volt 1200
ก็เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่ให้การส่องสว่างที่ทรงพลัง ด้วยขนาด 1200lumens ส่องสว่างได้อย่างชัดเจน ในทาง Trail หรือบนถนนที่ไม่มีแสงไฟ
ราคา 6,050 บาท

ไฟ AMPP Series ใหม่ที่มีทั้ง 1100lumens 800lumens 500lumens รุ่นใหม่ที่ใช้วัสดุที่แข็งแรง และมีน้ำหนักที่เบาลง ไฟ AMPP ใช้งานได้ง่ายและให้การส่องสว่างที่กว้าง และสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนในด้านข้าง รวมถึงแบตเตอรี่ที่พัฒนาใหม่ให้ใช้งานได้นานกว่ารุ่นก่อนหน้า

ไฟ Cateye Sync core
ชุดไฟหน้าที่มาพร้อมชุดไฟท้าย และไฟติดเสื้อ WearableX รวม 3 ชิ้น ที่สามารถเชื่อมต่อกันและเปิดพร้อมกันด้วยการกดเพียงปุ่มเดียว เหมาะกับการใช้งานในเมืองที่ใช้งานได้อย่างสะดวก และสามารถตั้งค่าการเปิดปิดไฟผ่าน App ได้ง่าย ไฟหน้า Sync core ให้ความสว่างขนาด 500lumens ที่ให้การส่องสว่างที่ชัดเจน น้ำหนักเบา และจุดยึดที่แข็งแรง

ไฟหน้า Cateye Volt500xc
เป็นไฟหน้าที่เป็น Mounting แบบสายรัดให้การถอดและใส่ที่ง่าย ใช้งานได้ง่ายและมีน้ำหนักเบา ความสว่างระดับ 500lumens เหมาะแก่การใช้งานในเมือง หรือ ถนนที่พอมีแสงสว่างบ้าง
ราคา 1,380 บาท

ไฟเพื่อเป็นจุดสังเกต หรือ Safety light นั้นจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก เพื่อการใช้สะดวกทุกเวลา เหมาะกับการปั่นทุกรูปแบบ ไฟประเภทนี้เป็นไฟให้ผู้อื่นสังเกตเห็นเรา ให้เราปั่นได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้นไฟ Safety light เปรียบเสมือนไฟ Daytime running light ของรถยนต์ที่เปิดตลอดเวลา เราควรเปิดไฟตลอดเวลาแม้ในขณะการปั่นในตอนกลางวัน เพื่อการสังเกตที่ชัดเจนขึ้นของผู้ใช้ถนน และ ทำให้การโฟกัสต่อนักปั่นดียิ่งขึ้น สำหรับไฟ Cateye แบบ Safety light นั้นมีให้เลือกมากมาย แต่ส่วนใหญ่ไฟ Safety light นั้นจะมีความสว่างที่ 50-400 lumens ก็เพียงพอสำหรับการสังเกตเห็น
เริ่มที่ไฟรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง AMPP 400 ซีรี่ส์ที่ใช้งานได้หลากหลายเรียกได้ว่าเป็นกึ่งไฟ Headlights ไปในตัวเลย เพราะความสว่างของตัวไฟ แต่มีบอดี้ที่กระทัดรัดซึ่งเหมาะกับทั้งการขี่ในเมือง ขี่ทางไกล เราอาจจะเปิดโหมด Flash หรือ ในเส้นทางที่แสงสว่างน้อยก็เปลี่ยนเป็นโหมด high ก็ส่องสว่างได้อย่างชัดเจน ให้การใช้งานที่ครอบครุมทุกการปั่น
ราคา 980 บาท

Rapid X2 เป็นอีกรุ่นยอดนิยม ที่สว่างพอที่จะให้ผู้ใช้ถนนสังเกตได้ทั้งทางตรงและด้านข้าง และมีน้ำหนักที่เบา รูปทรงที่เรียว สามารถรัดเข้ากับแฮนด์จักรยานได้อย่างลงตัว ตัวหลอด LED ความสว่างขนาด 100 lumens และมีโหมดการใช้งานที่หลากหลาย และมีจุดเด่นที่ใช้งานได้นานถึง 30 ชั่วโมงในโหมด Flash
ราคา 1,580 บาท

Volt 100xc ไฟขนาดกระทัดรัดแบบชาร์จ USB น้ำหนักเบาเพียง 42g เป็นไฟอีกรุ่นหนึ่งที่ใช้งานได้อย่างสะดวก และให้การส่องสว่างที่เห็นได้ชัดเจน สายรัดที่ถอดและใส่ได้ง่าย สามารถชาร์จไฟได้โดยไม่ต้องพกสาย
ราคา 980 บาท

Orb เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่ไว้เสริมไฟดวงที่ 2 ให้มีความชัดเจนขึ้น ด้วยขนาดที่เล็กกระทัดรัด ไม่กินพื้นที่บนแฮนด์ มีสายรัดที่รัดได้มั่นคงและเป็นแบบใช้ถ่าน สามารถเปลี่ยนได้ง่ายดาย
ราคา 330 บาท

ไฟท้ายเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด เพราะไฟท้ายเป็นตัวสังเกตที่ดีที่สุดต่อผู้ใช้ถนน สำหรับไฟท้ายของ Cateye ทุกรุ่นนั้น เหมาะกับการขี่ทุกประเภท ทุกเวลา และให้การส่องสว่างชัดเจนที่ใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับว่านักปั่นอยากได้โหมดการใช้งานที่แตกต่างออกไป

เริ่มที่ไฟรุ่นแรก Sync Kinetic ที่จะมาพร้อมชุดไฟหน้า Sync และไฟติดเสื้อ Sync มาในแพคเกจเดียวกัน จุดเด่นของชุดไฟ Sync คือเราสามารถควบคุมไฟทั้ง 3 ตำแหน่ง โดยการกดแค่ไฟตัวใดตัวหนึ่งเพียงปุ่มเดียว เช่น หากเราติดชุดไฟ Cateye Sync ทั้ง 3 ตำแหน่ง เรากดเปิดไฟหน้าเพียงปุ่มเดียว ไฟหลัง และ ไฟที่ติดเสื้อ จะเปิดให้อัติโนมัติ และสามารถ
ปรับตั้งค่าโหมดกระพริบได้ผ่าน App
จุดเด่นของไฟหลัง Sync Kinetic
– ระบบ Kinetic หากเราเปิดไฟในโหมด Flash อยู่ ระบบทำงานจะเปิดอัติโนมัติที่โหมด High เมื่อพบว่ารถจักรยานนั้นชะลอ เพื่อเป็นสัญญาณให้ผู้ที่ตามหลังรู้ว่ารถกำลังชะลอหรือทำการเบรก เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญให้ผู้ที่ตามหลังมาชะลอความเร็
– Group Ride mode เป็นโหมดที่แสงไฟจะไม่แยงตากับคนที่ขี่ตามหลังมา
– ให้การมองเห็นด้านข้างที่ชัดเจนและกว้าง
– ให้การใช้งานได้นานถึง 30 ชั่วโมงในโหมด Daytime Hyperflash โหมดกระพริบที่ความสว่างสุงสุดของหลอด
ราคาชุดไฟ Sync Core ประกอบด้วยไฟท้าย ไฟหน้า Sync Core 500lumens และ ไฟติดกระเป๋า Sync Wearable 4,370 บาท

Cateye Rapid X3 เป็นไฟท้ายที่มีความสว่างสูง โดยใช้หลอด LED ที่ไม่แยงตา ความสว่างสูงสุดที่ 150lumens เป็นไฟท้ายที่ใช้งานได้ทุกประเภทการปั่นและมีน้ำหนักที่ 46g ใช้งานได้นานถึง 30 ชั่วโมง ในโหมด Flash ตัวยางรัดสามารถรัดหลักอานแบบ Aero ได้ ถอดและใส่ได้ง่ายและสะดวก
ราคา 1,860 บาท

Cateye Rapid X2 Kinetic เป็นรุ่นยอดนิยมที่มีโหมด Kinetic และมีความสว่างที่ชัดเจนด้วยหลอดขนาดสูงสุดที่ 50lumens และมีขนาดที่พอดีกับน้ำหนัก 32g และมีการใช้งานที่นาน ตัวรัดคล้ายกับ Rapid X3 ถอดและใส่ได้ง่ายและทรงที่เพรียวบาง
ราคา 1,480 บาท

Cateye Rapid Mini ไฟท้ายทรงกระทัดรัดแต่มีความสว่างที่ชัดเจนทั้งทางตรงและด้านข้าง ไฟ Rapid mini มีขนาด 25 Lumens ที่เพียงพอต่อการใช้งานในเมืองหรือเพื่อการสังเกต มีโหมดการใช้งาน 4 โหมด และมีน้ำหนักที่เบาเพียง 21g ใช้งานได้นาน 30 ชั่วโมงในโหมด Flash
ราคา 900 บาท

นอกเหนือจากไฟหน้าและไฟท้ายแล้ว Cateye ยังมีไฟที่เป็น Additional options เพื่อเพิ่มความปลอดภัยที่มากขึ้น การติดไฟตามส่วนต่างๆของร่างกายนั้นจะช่วยให้เป็นที่สังเกตที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ยิ่งมีไฟเยอะเราก็จะยิ่งปลอดภัยครับ เพราะบางพื้นที่ที่มืดมากๆ ไฟเพียงดวงเดียวอาจจะไม่เพียงพอต่อการโฟกัสของสายตาผู้ที่ใช้ถนน

Cateye Duplex

ไฟในหมวดนี้คือไฟสำหรับติดหมวก ไฟติดหมวกนั้นจะช่วยให้เราปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อเราอยู่ในทางแยก หรือ เรากำลังปั่นขนาดกับรถและบดบังไฟหน้าไฟท้ายของเราไฟของหมวกอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดและช่วยให้ผู้อื่นที่ใช้ถนนได้มองเห็นเราเมื่อเราโดนบัง Cateye Duplex เป็นทั้งไฟหน้าและไฟท้ายในตัว ใช้งานได้อย่างสะดวกและสายรัดที่รัดกับหมวกได้พอดี และมีน้ำหนักที่เบา ไฟ Cateye Duplex จะมีอีกรุ่นคือ Volt400 Duplex อีกรุ่นที่จะมีความสว่างที่ส่องได้อย่างชัดเจน ครับ
ราคา Cateye Duplex 850 บาท / ราคา Cateye Volt400 Duplex 2,200 บาท

Cateye Orb แบบติดปลายแฮนด์

อีกตำแหน่งหนึ่งที่จะทำให้ไฟดูเข้ากับรถโดยมาแทนที่จุกที่ปิดปลายแฮนด์ เป็นไฟ Orb ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งจุกปิดปลายแฮนด์และไฟในตัว เพิ่มการสังเกตของผู้ที่ตามมาอย่างชัดเจน ไฟ Orb ใช้ถ่านแบบ CR2032 หาได้ง่ายและใช้งานได้นานมากถึง 100 ชั่วโมงในโหมด Flash
ราคา Cateye Orb ปลายแฮนด์ 620 บาท

Cateye loop2

แบบรัดที่แขนหรือข้อเท้า ก็เป็นอีกตำแหน่งที่ช่วยให้ปลอดภัยขึ้น วลาเราปั่นไฟที่รัดไว้ก็ขยับตลอดเวลา ช่วยให้เป็นที่สังเกตมากยิ่งขึ้น
ราคา Cateye loop2 500 บาท

Cateye Wearable

ไฟที่หนีบได้ทั้งเสื้อหรือกระเป๋า ใช้งานได้อย่างสะดวก ไม่เพียงแต่ใช้เพื่อการปั่นจักรยาน การวิ่งหรือเดินก็สามารถใช้ไฟ Wearable X ได้ อย่างลงตัว Wearable X มีความสว่างที่ชัดเจนด้วยหลอด LED ขนาด 35lumens และใช้งานได้นาน
ราคา Cateye Wearable X 1200 บาท Rechargeable / ราคา Cateye Wearable mini 400 บาท
อีกสิ่งหนึ่งก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อไฟติดจักรยานเราควรคำนึงถึงสิ่งนี้ครับ

อายุการใช้งาน เราควรคำนึงว่าเราปั่นทางไกลไหมและการชาร์จใช้เวลากี่ชั่วโมงในการชาร์จ ถ้าหากเราปั่นไม่ไกล เราก็เลือกไฟที่ไม่ต้องมีขนาดแบตที่ใหญ่มาก แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในการปั่นด้วยว่าเราปั่นในที่ที่มีความสว่างมากน้อยเพียงใดครับ ถ้าหากเราปั่นทางไกลเราควรมีไฟสำรองอีกสักอย่างน้อย 1 ชุด เผื่อแบตหมด เราจะได้มีอีกอันที่ยังสามารถใช้ได้ครับ

จุดยึดไฟแบบไหนที่เราต้องการ จุดยึดไฟของ Cateye จะมีทั้งแบบ Bracket และ สายยางรัด ซึ่งก็ดีคนละแบบ สำหรับแบบ Bracket นั้นจะให้ความแข็งแรงและมั่นคงมากกว่าแบบสายรัด แต่ถ้าแบบสายรัดก็ให้การถอดและใส่ที่รวดเร็วกว่า และมีน้ำหนักเบาครับ อีกเรื่องหนึ่งก็คือไฟนั้นมี Mount ที่สามารถติดกับจักรยานของเราได้พอดีไหม ทางที่ดีควรเอารถจักรยานไปที่ร้านจักรยานเพื่อลองใส่ดูครับว่ามันพอดีกับแฮนด์ หลักอานไหม เพื่อไฟที่ติดอย่างมั่นคงและสวยงามเข้ากับรถครับ


สั่งซื้อ สอบถามเพิ่มเติม หรือใช้บริการ service ได้ที่: https://hahhong.com/dealer/
ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่น: https://facebook.com/hahhongth/

#CatEye #TrustTheCat

เพราะอะไร “ไฟจักรยาน” ถึงสำคัญทุกช่วงเวลา2020-12-29T13:05:00+07:00

หมวกจักรยาน ของสำคัญที่ถูกมองข้าม

[fusion_builder_container hundred_percent=”no” equal_height_columns=”no” menu_anchor=”” hide_on_mobile=”small-visibility,medium-visibility,large-visibility” class

หมวกจักรยาน ของสำคัญที่ถูกมองข้าม2020-12-29T13:05:00+07:00

THE STORY OF SCHWALBE TIRES: เจาะลึกแบรนด์ยางชั้นนำระดับโลก

การเลือกยางจักรยานที่มีคุณภาพเหมาะกับรูปเเบบการปั่นของคุณ เเบรนด์ที่น่าเชื่อถือจะทำให้คุณปั่นสนุกขึ้น ปลอดภัยขึ้น เเละมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย

Schwalbe (ชวาล-เบ้ หรือ ชวาล-บี้) เป็นแบรนด์ยางชั้นนำ เชี่ยวชาญในการผลิตยางจักรยานโดยเฉพาะ มาดูกันครับว่าทำไม Schwalbe ถึงเป็นแบรนด์ยางจักรยานที่น่าเลือกใช้

Schwalbe เป็นยางสัญชาติเยอรมนี โดยผู้ก่อตั้งคือนาย Ralf Bohle

Headquarter ของ Schwalbe ตั้งอยู่ที่ Reichshof ทางตะวันออกของเมือง Cologne
เป็นเวลาเกือบ 50 ปีที่ Schwalbe ได้พัฒนายางจักรยานทุกรูปแบบ ตั้งแต่ปี 1973

Schwalbe มีการผลิตและจำหน่ายยางจักรยานไปทั่วโลกกว่า 17 ล้านเส้นต่อปี เป็นแบรนด์อันดับต้นๆของโลกในตลาดยางจักรยาน
โดยมีฐานผลิตอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย และ เวียดนาม

Schwalbe เกิดมาเพื่อเป็นยางจักรยานโดยเฉพาะ และมีทีมที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานในการพัฒนายางเพื่อจักรยาน

ยางทุกรุ่นจะถูกทดสอบอย่างหนักและมีการทดสอบการป้องกันโดยทีม R&D ยางแต่ละรุ่นที่ผลิตออกมาจะถูกส่งมายังห้องปฏิบัติการ โดยมีทีมวิจัยและพัฒนา 3 คน
ในการทดสอบการใช้งาน ซึ่งจะมีการทดสอบหลายอย่าง เพื่อกำหนดความทนทานของยางแต่ละรุ่น ออกเเบบเข้ากับลักษณะการใช้งานของยางแต่ละรุ่น

เครื่องทดสอบของ Schwalbe จะมีเยอะมาก เเละมีการทดสอบที่แตกต่างกัน เช่น การป้องกันการทะลุ การหาค่าระยะทางของเนื้อยาง การทดสอบแรงดันของยาง เป็นต้น

กล้องที่ส่องได้อย่างละเอียด เพื่อส่องขอบของยาง

ภายในขอบยางจะประกอบด้วยรายละเอียดต่างๆ

เครื่อง The Stabber จะเป็นการปล่อยเครื่องใบมีดจากความสูงที่ต่างกันเพื่อระบุแรงที่ต้องใช้ในการเจาะยางแต่ละประเภท
เครื่อง The Gripper จะเกี่ยวกับเรื่องการยึดเกาะของยาง ซึ่งเครื่องนี้สามารถเปลี่ยนจำลองพื้นผิวสัมผัสได้ เช่น พื้นคอนกรีต พื้นที่เปียกฝน เป็นต้น
เครื่อง 3D Printer นี้ทำหน้าที่จำลองดีไซน์ดอกยางขึ้นมา ก่อนที่จะมีการผลิตแม่พิมพ์จริงเพื่อประหยัดต้นทุนหากมีการแก้ไข
เครื่องทดสอบการเบรกและการเลี้ยวนี้ไม่มีชื่อ แต่ทำหน้าที่จำลองแรงเบรก และการเลี้ยว ว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด โดยการบังคับของหุ่นยนต์
หลังจากสร้างสารประกอบแล้วจะมีการเลือกเกรดยางที่แตกต่างกัน – 50 tpi (ส่วนใหญ่เป็นยางรุ่นเก่า), 67 tpi (ใช้ในยางส่วนใหญ่ในปัจจุบัน)
และ 127 tpi สำหรับยางสำหรับแข่งขันระดับไฮเอนด์ส่วนใหญ่และดอกยางถูกนำไปผลิตโดยมีเลเซอร์ช่วยอย่างแม่นยำ
ยางก่อนที่จะมีการขึ้นดอกยางจะเรียกว่า Green tires ซึ่งพร้อมเข้าสู่แม่พิมพ์ความร้อนสูงเพื่อขึ้นรูปดอกยา
เครื่องแม่พิมพ์แรงดันสูง ที่ใช้ความร้อนที่ 170องศา ในการหล่อดอกยางขึ้นมา โดยแม่พิมพ์แต่ละรุ่นจะมีราคาสูงและป้องกันการลอกเลียนแบบได้อย่างดีที่สุด
Markus Hachmeyer หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ประเภทยาง MTB ที่มีประสบการณ์ทำงานกว่า 20 ปีกับ Schwalbe
ที่เขาสร้างสรรค์และดีไซน์ยางที่ดีที่สุด เพื่อตอบโจทย์กับการปั่น MTB ในทุกรูปแบบ
หลักการออกแบบที่ Markus Hachmeyer ได้คิดและทดสอบ Pattern ของดอกยางต่างๆนั้น มีหลักการถึงการใช้งานในแต่ละประเภทให้เหมาะสมที่สุด
Schwalbe เป็นบริษัทผู้ผลิตยางจักรยานขนาดใหญ่ที่มี Distributor มากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก มีการบริการหลังการขาย
ยาง Schwalbe เป็นแบรนด์ที่เป็นผู้นำในด้านยางจักรยานทั่วโลก ที่มีความหลากหลายในทุกด้านของยางจักรยาน ไม่ว่าจะเป็นยางใน ยางนอก
อุปกรณ์ต่างๆที่เกียวกับยางจักรยานทุกชนิด Schwalbe มีผลิตทุกอย่าง รวมถึงประเภทของยางจักรยานที่มีในทุกประเภทการปั่น และมีหลาย Level ตามการใช้งานของลูกค้า
สั่งซื้อ สอบถามเพิ่มเติม หรือใช้บริการ service: https://hahhong.com/dealer/
ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่น: https://www.facebook.com/hahhongth/
THE STORY OF SCHWALBE TIRES: เจาะลึกแบรนด์ยางชั้นนำระดับโลก2020-12-29T13:05:01+07:00

LAZER BULLET 2.0: The Aerodynamic

Lazer Bullet 2.0 Asian fit หมวก Road racing ระดับ Top performance ที่มีจุดเด่นด้านความแอโร่ไดนามิคที่มาพร้อมกับการระบายอากาศที่ดีเยี่ยม ถ้าหากคุณกำลังมองหาหมวก Performance สักใบก็นับว่าเป็นหมวกตัวหนึ่งที่ครบเครื่องเลยทีเดียว

ช่อง Air Slide เปิดหรือปิดเพื่อความแอโร่ไดนามิค และ รับลมเพื่อการระบายอากาศได้ดียิ่งขึ้น
ช่อง Air Slide เปิดหรือปิดเพื่อความแอโร่ไดนามิค และ รับลมเพื่อการระบายอากาศได้ดียิ่งขึ้น

แม่เหล็กเอาไว้เก็บเลนส์เมื่อเวลาใช้งานเสร็จและไม่ได้ปั่นเท่านั้น ไม่แนะนำให้เก็บเลนส์ที่ด้านหลังขณะปั่นจักรยาน

เลนส์ Panoramic แบบแม่เหล็กให้การมองที่ชัดเจน และสบายตัวเลนส์จะไม่สัมผัสใบหน้า ให้ Aerodynamic สูง

หมวก Bullet 2.0 ใช้วัสดุระดับ Top-end ที่เสริมพรีเมียม shell เข้าไปเพื่อการป้องกันที่มากยิ่งขึ้น

Option Closed caps แทนที่ Air slide และ Venturi cap แบบทึบที่มีมาให้ในกล่อง เพื่อความ Aerodynamic สูงสุด

Closed caps เพื่อความ Aerodynamic สูงสุด สำหรับผู้ที่ serious aerodynamic

Sticker Lazer ขนาดใหญ่ด้านหน้าแบบสะท้อนแสง ให้การสังเกตที่ชัดเจน

ระบบปรับกระชับ Advanced Turnfit System ให้การปรับกระชับที่ละเอียด ทุกส่วนของศรีษะ รวมถึงทรงหมวกแบบ Asian Fit
ที่สวมใส่ได้พอดีเหมาะกับศรีษะคนไทย และด้านหลังยังมีไฟ LED ช่วยเพิ่มการสังเกตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เชื่อมั่นด้วยประสบการณ์กว่า 100 ปีที่ Lazer ได้สร้างหมวกกันน๊อคที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดแก่นักปั่น และมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล

มีจำหน่ายด้วยกัน 5 สี ดังนี้ ราคา 7,200 บาท

ค้นหาร้านค้าตัวแทนจำหน่ายใกล้ท่านได้ที่: https://hahhong.com/dealer/
ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/LazerHelmetsTH/

LAZER BULLET 2.0: The Aerodynamic2020-12-29T13:05:01+07:00

Di2 ดี…อย่างไร?

SHIMANO Di2 ย่อมากจาก Digital Integrated Intelligence คือระบบชุดเกียร์ไฟฟ้าที่ทำงานและสั่งงานด้วยการกดปุ่ม พัฒนายืนพื้นมาจากระบบเกียร์เมคคานิคส์หรือเกียร์สาย ให้เป็นชุดเกียร์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หรือเรียกได้ว่าเป็นชุดอัพเกรดของระบบเกียร์เมคคานิคส์นั่นเอง สำหรับคนที่มีความต้องการที่จะพัฒนาจักรยานของคุณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งกว่าเดิมมาดูกันว่าฟังก์ชั่นของเจ้า SHIMANO Di2 นี้มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง มีดีแตกต่างจากเกียร์เมคานิคส์อย่างไร ควรค่าแก่การลงทุนของคุณหรือไม่ เราไปดูกั

1. ความแม่นยำในการเปลี่ยนเกียร์สูง

Di2 มีระบบที่จะคอยดูแลช่วยเหลือให้การเปลี่ยนเกียร์ของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่ตลอด โดยมีความสามารถในการเปลี่ยนเกียร์แต่ละสเต็ปคงที่และแม่นยำอย่างมาก เพราะสั่งการชุดเกียร์ด้วยสัญญาณไฟฟ้า จึงไม่มีปัญหาจากการเสื่อมสภาพ ความฝืดเคือง หรือการรั้งตัวของสายเคเบิ้ล ที่อาจทำให้การเปลี่ยนเกียร์ไม่เข้าที่ได้ นอกจากนี้แบตเตอรี่ยังใช้งานได้ยาวนาน เป็นระยะการขี่ 1500 – 2000 km ถึงแม้แบตเตอรี่ใกล้หมดแล้วความแม่นยำในการเปลี่ยนเกียร์ก็ไม่ได้ลดลง นอกจากนี้ยังมีความเร็วในการเปลี่ยนเกียร์สูง และสเถียรเป็นอย่างมาก ซึ่งประสิทธิภาพความแม่นยำสูงนี่เองที่ชนะใจนักแข่งโปรทัวร์หลายๆคนจนเลือกไปติดตั้งกับจักรยานเพื่อใช้แข่งขั

2. การบำรุงรักษาต่ำ

เมื่อไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่เกิดจากสายเคเบิ้ล ก็สามารถช่วยลดการบำรุงรักษาชุดเกียร์ลงไปได้มาก แล้วชุดเกียร์ Di2 ยังมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าเกียร์เมคานิคส์ ตัวระบบกันน้ำ มีความทนทานต่อการใช้งานอย่างหนักหน่วง รวมถึงมีการขยับเขยื้อนของชิ้นส่วนน้อยมากๆ จึงยังสามารถทำงานได้ดีแม้ในสภาพเลอะดินเลอะโคลน เรียกได้ว่าเมื่อปรับแต่งครั้งหนึ่งแล้วสามารถทำงานอย่างแม่นยำไปได้ตลอด ยกเว้นในกรณีที่รถล้ม จึงค่อยมีการซ่อมแซมและปรับแต่งใหม่ ซึ่งตัว Di2 เองก็มีระบบป้องกันความเสียหายของชิ้นส่วนต่างๆด้วย เช่น ระบบป้องกันโซ่ตก ลดการเสียดสีของขาจาน ป้องกันความเสียหายของตีนผีหากเกิดการล้ม เป็นต้น นอกจากความแม่นยำแล้วเรื่องความคงทนนี่เองที่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักแข่งโปรทัวร์เลือกใช้ชุดเกียร์ Di2 ในการแข่งขันสำคัญ เพราะช่วยลดความกังวลเรื่องการชำรุดของชิ้นส่วนระหว่างทาง ทำให้ลงแข่งได้อย่างมั่นใจ

3. ใช้งานง่าย ปรับแต่งได้หลากหลาย

มือเกียร์ของ Di2 ถูกออกแบบด้วยพื้นฐานเดียวกันกับมือเกียร์ระบบเมคานิคส์ของ SHIMANO ผู้ใช้จึงสามารถทำความคุ้นเคยและใช้งานได้อย่างง่ายดาย โดยสามารถปรับค่าปุ่มต่างๆบนมือเกียร์ได้ตามความสะดวกในการใช้งาน เช่นการกำหนดตัวเลือกในการกดปุ่มเป็นเปลี่ยนเกียร์ขึ้นเฟืองใหญ่ ลงเฟืองเล็ก หรือเปลี่ยนมากกว่า 1 เกียร์ รวมถึงตั้งค่าความเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ได้ แล้วยังมีอุปกรณ์เสริมให้เลือกติดตั้งเพื่อกดเปลี่ยนเกียร์จากตำแหน่งไหนของบาร์ก็ได้อีกด้วย จึงพูดได้เลยว่าสามารถปรับแต่งให้เข้ากับจักรยานได้ทุกรูปแบบ

4. น้ำหนักเบา เรียบร้อยสะอาดตา

Di2 ในปัจจุบันได้ถูกพัฒนาให้เบาขึ้น และมีขนาดเล็กจนแทบไม่ต่างจากเกียร์ระบบเมคานิคส์ และด้วยโครงสร้างภายในชิ้นส่วนที่แตกต่างกัน ทำให้น้ำหนักรวมของ Di2 ออกมาเบากว่าเกียร์เมคานิคส์ในซีรีย์เดียวกันเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ บวกกับการทำงานด้วยระบบไฟฟ้าทำให้ลดจำนวนสายเคเบิ้ลที่ระโยงระยางลง จักรยานที่ติดชุดเกียร์ Di2 จึงดูเรียบร้อยสะอาดตากว่าชุดเกียร์เมคานิคส์อีกด้วย

5. ปรับแต่งง่ายผ่าน E-TUBE

E-TUBE Project คือโปรแกรมที่ใช้ตรวจเช็คและปรับแต่งระบบอิเล็คโทรนิคส์ของ SHIMANO ซึ่งช่วยให้การปรับแต่งจักรยานของคุณง่ายขึ้น เพียงเชื่อมต่อชุดเกียร์เข้ากับคอมพิวเตอร์ก็สามารถตรวจสอบความผิดปกติของชิ้นส่วนที่อาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นได้ นอกจากนี้ในชิ้นส่วนรุ่นใหม่ๆยังมีฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อแบบไร้สาย ให้คุณใช้งานสะดวกยิ่งขึ้นผ่านแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนอีกด้วย หรือหากคุณมีชุดเกียร์ Di2 อยู่แล้ว ก็สามารถซื้ออุปกรณ์ D-FLY สำหรับส่งข้อมูลแบบไร้สายมาติดตั้งเพิ่มได้ ซึ่งตัว D-FLY นี้นอกจากเชื่อมต่อกับ E-TUBE ได้แล้ว ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆเช่น Cycle Computer ที่รองรับฟังก์ชั่น wireless ได้เช่นกัน

ราคา ULTEGRA Di2 ชุด Upgrade (Rim Brakes)
Standard Set Junction-A 3 port 31,260 บาท
Junction-A 2 port set 31,990 บาท

ราคา ULTEGRA Di2 ชุด Upgrade (Disc Brakes)
Standard Set Junction-A 3 port 39,700 บาท
Junction-A 2 port set 40,430 บาท

ราคา GRX Di2 ชุด Upgrade (1X11)
Standard Set Junction-A 3 port 35,930 บาท

*ชุดอัพเกรดประกอบด้วย ST, FD, RD, Junction A, Junction B, Battery, Charger

นอกจากฟังก์ชั่นการทำงานประสิทธิภาพสูงแล้ว Di2 ยังมาพร้อมบริการหลังการขายจากร้านค้าตัวแทนที่ผ่านการอบรม เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถดูแลชุดเกียร์ของคุณได้เป็นอย่างดี รวมถึงมีอะไหล่พร้อมไว้คอยบริการในกรณีที่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือซ่อมแซมชิ้นส่วน การเลือกซื้อ Di2 สักชุดหนึ่งเราจึงอยากแนะนำให้คุณเลือกซื้อกับร้านค้าที่มีใบรับรอง รวมถึงมีหน้าร้านและอุปกรณ์พร้อมให้บริการ

Di2 ดี…อย่างไร?2020-12-29T13:05:01+07:00

SHIMANO UNZEN 2: เป้น้ำที่เก็บได้มากกว่าน้ำ

เป้น้ำสิ่งจำเป็นอย่างมากที่คุณต้องมีเมื่อปั่น MTB ทางไกล เป้น้ำจะช่วยให้การขี่ MTB นั้นง่ายขึ้นด้วยน้ำที่สำรองได้ถึง 2 ลิตร และการดื่มจากสายที่ง่ายกว่าการก้มหยิบกระติกน้ำ นอกจากนั้นเป้นี้ยังสามารถใส่ของชิ้นเล็กๆหรืออุปกรณ์อื่นๆแทนการยัดใส่กระเป๋าเสื้อได้ด้วย

จากราคาปกติของเป้น้ำ SHIMANO UNZEN 2 HYDRATION PACK ที่ 2,900 บาท สำหรับท่านที่สมัคร Shimano MTB Experience 2020 นี้ คุณสามารถเลือกสมัครปั่นพร้อมรับเป้น้ำ SHIMANO UNZEN 2 HYDRATION PACK ได้ในราคา 2,450 บาทเท่านั้น!

มาดู Feature ต่างๆของเป้น้ำแบบ close up กันครับ

ถุงใส่น้ำขนาด 2 ลิตร จุน้ำได้เหลือเฟือสำหรับระยะทาง Shimano MTB Experience และสายดูดน้ำที่สะดวกต่อการใช้งานในขณะที่เราปั่น
ช่องเก็บของที่มีความหนามากกว่าจุดอื่น ช่วยป้องกันรักษาอุปกรณ์สำคัญได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นกล้อง กุญแจรถ หรือนาฬิกา
ช่องเก็บอุปกรณ์ต่างๆสามารถเก็บได้ทั้งเครื่องมือพกพา CO2 ที่งัดยางต่างๆ ได้อย่างสบายๆ
ช่องสำหรับเสียบแว่นตา ใช้งานง่าย หยิบได้สะดวกรวดเร็ว เก็บรักษาแว่นตาของคุณได้อย่างเป็นระเบียบ

ตะขอ 2 ฝั่ง ไว้เกี่ยวกับสายของหมวกได้อย่างลงตัว

เก็บหมวกเมื่อยามที่คุณไม่ได้ใช้ เหน็บกับเป้ได้เลยไม่ต้องถือ

ตะขอด้านหน้าสามารถปรับเพื่อความกระชับตามลักษณะของผู้ปั่น

แผ่นตาข่ายด้านหลังช่วยระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี และมีแผ่น Support เพิ่มความสบายขณะปั่น
ด้านในเป้น้ำจะเป็นที่ปรับความกระชับของสายสะพาย สามารถปรับได้อย่างละเอียด เพื่อความกระชับและการปั่นที่คล่องตัวที่สุด

ปิดรับสมัคร: 31 ก.ค. 2563 ขยายเวลารับสมัครถึง 15 สิงหาคม 2563
ช่องทางการรับสมัคร: https://event.thaimtb.com/event.php?e=487
รายละเอียดงาน: https://hahhong.com/2020/07/02/reopen-shimtbexp2020/

ติดตามความเคลื่อนไหวของงานได้ที่ https://www.facebook.com/ShimanoMTBExperience/

SHIMANO UNZEN 2: เป้น้ำที่เก็บได้มากกว่าน้ำ2020-07-29T13:52:32+07:00

Title

Go to Top