ย้อนดูประวัติของเเบรนด์ “ชิมาโน่” กัน
ช่วงเวลา 1 ศตวรรษ จากโรงตีเหล็กเล็กๆ ในเมืองซาคาอิ จังหวัดโอซาก้า สู่แบรนด์ที่นักปั่นทั่วโลกต่างให้ความไว้วางใจ ภายใต้ชื่อ “ SHIMANO ”
SHIMANO ครบรอบ 100 ปี เมื่อปี 2021 SHIMANO ยังคงยึดมั่นถือมั่นในหลักการแรกเริ่มของผู้ก่อตั้ง คือคุณโชซาบุโร่ ชิมาโน่ ในการทุ่มเทพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อนำความสุขมาให้ผู้คนอย่างกลมกลืนไปกับธรรมชาติ ตามสโลแกน Closer to Nature, Closer to People. วิถีเรียบง่ายผสมกับความมุมานะนี้ทำให้ SHIMANO ค่อยๆก้าวขึ้นมาสู่แถวหน้าของวงการจักรยาน ด้วยสินค้าที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพและมาตรฐานการผลิตที่น่าเชื่อถือ ครอบคลุมความต้องการอย่างกว้างขวางจนมีเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดอะไหล่จักรยานเลยทีเดียวตลอดช่วงเวลาอันยาวนานที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการจักรยาน SHIMANO มักมีอะไรมาให้นักปั่นอย่างเราๆ ตื่นเต้นกันอยู่เสมอ เรามาย้อนดูกันดีกว่าว่ามีอะไรถูกพัฒนาและปล่อยออกมาสู่ท้องตลาดจนเป็นไลน์อัพที่เห็นอยู่ในปัจจุบันกันบ้างาง
1921
ปี 1921 คุณโชซาบุโร่ ชิมาโน่ ได้ก่อตั้งโรงตีเหล็ก Shimano Iron Works ขึ้นบนเนื้อที่ 40 ตารางเมตร ในเขตฮิกาชิมินาโตะ เมืองซาคาอิ จังหวัดโอซาก้า ต่อมาในปี 1922 ได้ตัดสินใจเข้าสู่อุตสาหกรรมอะไหล่จักรยานจากการผลิต “เฟือง” ซึ่งเจ้าเฟืองชิ้นเล็กๆนี่แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางสู่การเป็นผู้นำในวงการจักรยานของ SHIMANO เพราะทุกเทคโนโลยีและทุกนวัตกรรมที่จะช่วยพัฒนาจักรยานให้ดียิ่งขึ้นนั้น ล้วนเกิดขึ้นมาจากการรวมกันของชิ้นส่วนเฟืองชิ้นเล็กๆนี่เอง ต่อยอดจากเฟือง SHIMANO เริ่มพัฒนาชุดเกียร์อย่างที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ และปล่อยออกสู่ตลาดในปี 1956 แต่เพียง 1 ปีต่อมาก็สร้างความฮือฮาขึ้นอีกครั้งด้วยการเปิดตัวเกียร์ในดุมแบบ 3 Speed ที่มีคุณภาพดีขึ้นจนได้รับคำชมทั้งจากในและนอกประเทศญี่ปุ่น อันเป็นจุดเริ่มต้นการบุกไปตลาดโลกของอะไหล่แบรนด์ SHIMANO อย่างไรก็ตาม กว่าที่ “ชุดขับ” ชุดแรกจะถูกผลิตและวางขายนั้น ก็กินเวลาหลังจากนี้ไปอีกเกือบ 20 ปีเลยทีเดียว
1973
หลังจากขยายฐานไปถึงอเมริกาในปี 1965 SHIMANO เริ่มมองหาช่องทางการทำตลาดใหม่ๆ โดยเลือกเข้าไปเล่นในตลาดของนักแข่งโปรทัวร์ และท้าท้ายตัวเองโดยการพัฒนาชุดขับที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับใช้แข่งขัน องค์ความรู้ที่ใช้เวลาสั่งสมกว่า 50 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้ง หล่อหลอมออกมาเป็นชุดขับเสือหมอบชุดแรกของ SHIMANO ที่เปิดตัวสู่ท้องตลาดในปี 1973 ภายใต้ชื่อ “DURA-ACE” ซึ่งมีที่มาจากวัสดุที่ใช้ผลิตชุดขับคือ Duralumin (โลหะผสมอัลลอยด์ชนิดหนึ่ง) และคำว่า Durability (ความทนทาน) รวมกับคำว่า Ace (ผู้เล่นที่จะนำชัยชนะมาให้ทีม) เป็นความหมายเพื่อการขึ้นเป็นที่ 1
DURA-ACE ถูกส่งให้นักแข่งโปรทัวร์นำไปใช้งานจริงเพื่อเก็บข้อมูลและพัฒนาชุดขับต่อไป ด้วยเหตุนี้ทำให้เทคโนโลยีการผลิตของ SHIMANO ก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก และเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่นักแข่ง แต่ก็ยังไม่สามารถตีตลาดจนเป็นที่ยอมรับในวงกว้างได้อยู่ดี เหล่านักพัฒนาของ SHIMANO ที่ไม่เคยย่อท้อจึงได้เริ่มทดลองสิ่งใหม่กันอีกครั้ง ในคราวนี้พวกเขามุ่งความสนใจไปที่การเพิ่มความแอโร่ไดนามิกเพื่อลดแรงต้านลม และปรับเปลี่ยนดีไซน์เพื่อลดน้ำหนักของชุดขับลง จนเกิดเป็นซีรี่ย์ DURA-ACE AX ออกสู่ท้องตลาดสร้างความตื่นตาตื่นใจครั้งใหญ่ในปี 1980 แม้สุดท้ายมันดูจะไม่เป็นที่พึงพอใจของผู้ใช้งานมากนักจนเลิกผลิตไปก็ตาม แต่นี่ก็ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการเรียนรู้และพัฒนามาสู่ชุดขับ DURA-ACE ในยุคปัจจุบัน ชัยชนะครั้งแรกของ DURA-ACE เกิดขึ้นเมื่อปี 1988 โดย Andy Hampsten ในรายการ Giro d’Italia ทำให้ DURA-ACE ถูกจับตามองและถูกเลือกใช้มากขึ้น จนสามารถคว้าชัยชนะในรายการใหญ่อย่าง Tour De France ได้ในปี 1999 โดย Lance Armstrong หลังจากนั้น DURA-ACE ก็กลายเป็นชุดขับที่นักปั่นโปรทัวร์ทั่วโลกต่างให้ความไว้วางใจ โดยซีรี่ย์ล่าสุด DURA-ACE R9100 นั้นเป็นซีรี่ย์ลำดับที่ 11 ของ DURA-ACE แล้ว ในส่วนของชุดขับรุ่นน้องเองก็ถูกพัฒนาออกสู่ท้องตลาดตามกันมาเพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของนักปั่นที่หลากหลายมากขึ้น โดยซีรี่ย์ ULTEGRA ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 1974 และซีรี่ย์ SHIMANO 105 ในปี 1982
1982
ข้ามฝั่งจากเสือหมอบมาเป็นเสือภูเขากันบ้าง ในช่วงปลายยุค 1970s ขณะที่ DURA-ACE กำลังถูกกระจายสู่นักแข่งโปรทัวร์ ในอีกด้านหนึ่งของอเมริกาจักรยานเสือภูเขาก็เริ่มเป็นที่นิยมขึ้นมา ความสนุกสนานของการขี่จักรยานเสือภูเขาที่ได้สัมผัสด้วยตนเองทำให้ SHIMANO มองเห็นช่องทางใหม่ในการทำตลาด และเริ่มการท้าทายอีกครั้งโดยเลือกพัฒนาชุดขับสำหรับลุยป่าโดยเฉพาะ หรือก็คือชุดขับเสือภูเขานั่นเอง ความยากของการผลิตชุดขับเสือภูเขาคือการที่ต้องตอบสนองความต้องการของการใช้งานที่หนักหน่วง ไม่ว่าจะเป็นการลุยน้ำฝน ดินโคลน หรือสภาพแวดล้อมอื่นๆที่คาดไม่ถึง ชุดขับจึงต้องได้รับการป้องกันที่มากยิ่งขึ้น และมีความแข็งแรงมากขึ้นด้วย ชุดขับตัวใหม่ถูกทดสอบความทนทานซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย ลุยไปทั้งพื้นโคลนและพื้นทรายทั่วอเมริกา จนในปี 1982 มันก็ได้เปิดตัวออกสู่ตลาดในนามชุดขับเสือภูเขาชุดแรกของโลก ภายใต้ชื่อ “ DEORE XT ” การมาของชุดขับเฉพาะทางทำให้จักรยานเสือภูเขาได้รับความนิยมมากขึ้น ไม่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น แต่กระจายไปทั่วโลก ซึ่งจุดนี้เองเป็นการเติบโตก้าวใหญ่ของ SHIMANO เช่นกัน หลังจากนั้น SHIMANO ก็ยังคงคลอดชุดขับเสือภูเขาซีรี่ย์ใหม่ออกมาเรื่อยๆ โดยชุดขับ DEORE รุ่นแรกถูกปล่อยออกมาในปี 1987 ตามมาติดๆด้วยซีรี่ย์ SLX ในปี 1989 จักรยานเสือภูเขายังคงไม่ผ่อนความแรง ความนิยมที่มากขึ้นเรื่อยๆทำให้เริ่มมีการขี่เพื่อแข่งขัน ความต้องการชุดขับที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมและน้ำหนักเบากว่าเดิมส่งให้ SHIMANO พัฒนาชุดขับตัวท็อปตัวใหม่ออกมาเพื่อสนองความต้องการนั้น
“SHIMANO XTR” คือชื่อของชุดขับที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้สำหรับแข่งขันโดยเฉพาะ XTR เข้าสู่ท้องตลาดในปี 1991 ทั้งความแข็งแรง คุณภาพสูง และความคล่องตัวของชุดขับ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับวงการจักรยานอย่างมาก รวมถึงได้รับการตอบรับที่ดีมากด้วยเช่นกัน แต่แน่นอนว่า SHIMANO ยังคงไม่หยุดพัฒนา โดยรุ่นล่าสุด XTR M9100 เป็นซีรี่ส์ลำดับที่ 8 ของ XTR แล้ว
1984
ขยับใกล้ชุดขับที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาในปัจจุบันเข้ามาอีกก้าว ด้วยระบบเกียร์ที่ทำให้ SHIMANO แจ้งเกิดในวงการจักรยาน ภายใต้ชื่อ “SIS (SHIMANO Index System)” คือการเปลี่ยนเกียร์เป็นสเต็ป จากเดิมที่นักปั่นจะต้องใช้ความรู้สึกจับเอาเองว่าเกียร์เปลี่ยนไปหรือยัง โดยระบบ SIS ออกสู่ท้องตลาดพร้อม DURA-ACE รุ่นใหม่ซีรี่ส์ 7400 ในปี 1984 ยังคงมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักปั่นโปรทัวร์ ซึ่งระบบ SIS จะช่วยให้ปั่นได้อย่างมีความมั่นใจมากขึ้น รวมถึงลดความผิดพลาดในการเปลี่ยนเกียร์ และลดความเสี่ยงที่ความเร็วจะตกลงอีกด้วย
1990
ไม่ใช่แค่อะไหล่จักรยานเท่านั้น SHIMANO ยังผลิตอุปกรณ์อื่นๆที่เกี่ยวกับการปั่นด้วย โดยอุปกรณ์ทุกอย่างถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดที่ต้องการส่งเสริมให้สามารถปั่นได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า แว่นปั่น เสื้อปั่น หรือที่เรียกเป็นหมวดหมู่ว่า LSG (Life Style Gear) โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการพัฒนาบันได หลังจากผลิตบันไดออกวางขายในช่วงปลายยุค 1970s SHIMANO ก็เล็งเห็นถึงความสำคัญของการส่งแรงไปยังบันไดต่อการปั่น จึงได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ท้องตลาดในปี 1990 ภายใต้ชื่อ “ SPD (SHIMANO Pedaling Dynamics) ” ที่เป็นบันไดและคลีทสำหรับจักรยานเสือภูเขา รวมถึงผลิตรองเท้าปั่นที่ใช้งานคู่กันออกมาด้วย โดยมีแนวคิดเพื่อให้ใช้งานได้ “ง่าย” ที่สุด นอกจากช่วยส่งแรงไปยังบันไดได้เป็นอย่างดีแล้ว ไม่ว่าจะล็อคเท้าเพื่อปั่นหรือปลดออกเพื่อลงเดินก็ทำได้อย่างง่ายดาย ซึ่งความใช้งานง่ายนี้เองที่ทำให้ SPD ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักปั่น SHIMANO จึงทำการขยายตลาดโดยเข้าสนับสนุนแบรนด์รองเท้าให้ผลิตรองเท้าที่สามารถรองรับการใช้งาน SPD ได้ จนทำให้ระบบ SPD กลายเป็นมาตรฐานของบันไดในปัจจุบันจากนั้นก็มีการพัฒนา SPD-SL ที่เป็นระบบบันไดและคลีทสำหรับเสือหมอบเพิ่มขึ้นมา และยังคงพัฒนารองเท้าที่เป็นแบรนด์ SHIMANO ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนตอนนี้มีรองเท้าสำหรับปั่นออกมามากมายหลากหลายรุ่นอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน และในปี 2016 SHIMANO ก็ได้เข้าซื้อกิจการของ LAZER ซึ่งเป็นแบรนด์หมวกจักรยานที่มีประวัติยาวนานและมาตรฐานการผลิตที่น่าเชื่อถือ ให้เข้ามาเป็นบริษัทลูกของ SHIMANO เพื่อให้มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตลาดจักรยานมากยิ่งขึ้น
2009
ผ่านเข้าสู่ยุค 2000s แนวคิดการผลิตชุดขับที่ “ง่าย” และ “สบาย” ยิ่งขึ้นสำหรับนักปั่นยังคงได้รับความสนใจ จนพัฒนาได้เป็นชุดเกียร์ไฟฟ้าขึ้นมา ด้วยความรู้และเทคโนโลยีการผลิตของ SHIMANO จึงเกิดเป็น “ Di2 (Digital Integrated Intelligence) ” ชุดเกียร์ไฟฟ้าชุดแรกที่ประสบความสำเร็จ สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ง่าย มีความเสถียรแม่นยำ และใช้งานได้จริง วางขายในท้องตลาดเมื่อปี 2009 และด้วยประสิทธิภาพสูงของ Di2 นี่เองที่นำความเป็นไปได้ใหม่มาสู่วงการแข่งขันจักรยาน
2019
และซีรี่ส์ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้ในปี 2019 SHIMANO ได้ใส่ความชำนาญในการผลิตทั้งชุดขับเสือหมอบและเสือภูเขารวมไว้ในชุดขับซีรี่ย์ใหม่ตัวนี้ เกิดเป็นชุดขับ Gravel ชุดแรกจาก SHIMANO ภายใต้ชื่อ “GRX” ที่มีทั้งประสิทธิภาพสูง ความทนทาน แข็งแรง และราคาที่เข้าถึงง่าย จึงกลายเป็นชุดขับอีกชุดหนึ่งที่ได้รับความนิยมทั่วโลก
2021
SHIMANO เดินทางเข้าสู่ปีที่ 100 แล้วในปี 2021 ถึงกาลเวลาจะผ่านไปยาวนานจนเปลี่ยนจากโรงตีเหล็กเล็กๆ กลายเป็นบริษัทระดับโลก แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เคยเปลี่ยนก็คือความหลงใหลในจักรยาน รวมถึงความตั้งใจที่จะมอบความสุขและประสบการณ์การปั่นที่ดีให้กับนักปั่นทุกคนที่เลือกใช้สินค้าของ SHIMANO โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อส่งต่อผลิตภัณฑ์คุณภาพที่สามารถไว้วางใจได้ให้คุณไปอีก 100 ปี!